วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

วิตามินซี ( Vitamin C )

วิตามินซี ( Vitamin C )

window.google_render_ad();
วิตามินซี คืออะไรประวัติการค้นพบ วิตามินซี เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่สมัย ศตวรรษที่ 18 มีการสังเกตว่าพวกทหารเรือที่มีการรอนแรมออกเดินเรือไปในทะเลเป็นเวลานานๆ ซึ่งมักจะขาดแคลนพวกผักสดผลไม้สด จะป่วยเป็นโรคลักปิดลักเปิด และสุขภาพไม่ค่อยดี มีอาการอ่อนเพลีย อยู่บ่อยๆ แต่ก็มีคนสังเกตเห็นว่าจะไม่พบอาการดังกล่าวในทหารเรือที่รับประทานมะนาวเป็นประจำ และเมื่อต่อมาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก้าวหน้ามากขึ้น ในปี 1982 ก็สามารถหาสารอาหารสำคัญที่เป็นต้นเหตุของโรคดังกล่าวได้ว่าสารที่พวกทหารเรือขาดไปคือ “กรดแอสคอร์บิค (Ascorbic acid)” ซึ่งมันมีฤทธิ์สามารถช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิดได้ ในปัจจุบัน กรดแอสคอร์บิค ก็ถูกรู้จักกันโดยทั่วไปในชื่อของ “วิตามินซี” และมีนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งซึ่งเคยได้รับรางวัลโนเบลถึง 2ครั้ง และมีอายุยืนยาวมากกว่า 90 ปีแม้จะป่วยเป็นโรค มะเร็ง มายาวนานถึง 20 ปีก็ตามคือ Dr.Linus Pauling ชาวเมืองพอรต์แลนด์ ได้เคยพูดไว้ว่า เหตุที่เขาสามารถมีสุขภาพดีและสามารถชะลอการลุกลามของโรค มะเร็ง ในตัวได้นานกว่า 20 ปี ก็เนื่องจาก วิตามิน และ เกลือแร่ ที่เขารับประทานเข้าไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิตามินซี ซึ่งหลังจากที่เขารับประทานขนาดสูงทุกวัน เขาก็ไม่เคยเป็นหวัดอีกเลย Dr.Linus Pauling เริ่มรับประทาน วิตามินซี ชนิดเม็ดตั้งแต่อายุ 40 ปี และเพิ่มขนาดสูงถึง 18,000 มิลลิกรัม เมื่อรู้ว่าตนเองเป็น มะเร็ง ตั้งแต่อายุได้ 64 ปี เขายืนยันว่ามันช่วยให้ มะเร็ง ในร่างกายสงบลงประโยชน์ของ วิตามินซีเราทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่า วิตามินซี มีประโยชน์มากมากหลายอย่าง ไม่ว่าจะช่วยปกป้องเซล เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน สุขภาพและความแข็งแรงของเนื้อเยื่อในร่างกายที่เกี่ยวข้องกับ เส้นเอ็น และคอลลาเจน ก็มีผลมาจากปริมาณ วิตามินซี ในร่างกาย และ วิตามินซี ยังมีฤทธิ์ในการเป็นสารแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ที่ดี จึงสามารถป้องกันการทำลายเซลจากอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี และมันช่วยให้ร่างกายสามารถรีไซเคิลสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ ดังนั้นเพื่อประโยชน์สูงสุดจึงควรที่จะรับประทาน วิตามินซี ร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินอี แคโรทีน ฟลาโวนอย เป็นต้นนอกจากนี้ วิตามินซี ยังมีประโยชน์ด้านอื่นๆ อีก คือ► วิตามินซี ช่วยบรรเทาความรุนแรงและระยะเวลาของการเป็นโรคหวัด หากเริ่มรับประทาน วิตามินซี ตั้งแต่เริ่มแรกที่เห็นอาการของโรคหวัด จะช่วยให้อาการป่วยลดความรุนแรงและหายได้เร็วขึ้น มีการศึกษาเมื่อปี 1995 พบว่าหากรับประทาน วิตามินซี 1,000 ถึง 6,000 มิลลิกรัมต่อวันตั้งแต่เริ่มมีอาการของโรคหวัด จะช่วยให้หายได้เร็วขึ้น 21% แต่ก็ยังไม่มีรายงานว่า วิตามินซี สามารถช่วยป้องกันโรคหวัดได้► วิตามินซี ช่วยให้แผลหายได้เร็วขึ้น เนื่องจาก วิตามินซี ช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมและรักษาตัวเองโดยการไปเสริมสร้างผนังเซล ทำให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรง และต่อต้านอาการอักเสบ จึงทำให้แผลหายได้เร็วขึ้น ในทางกลับกันการขาด วิตามินซี ก็สงผลให้แผลให้ได้ช้าลงเช่นกัน► หากรับประทาน วิตามินซี เป็นประจำทุกวัน มันจะช่วยให้เหงือกมีสุขภาพแข็งแรง โดย วิตามินซี จะไปช่วยรักษาเซลที่ถูกทำลายและช่วยให้แผลที่เหงือกหายเร็ว► เพิ่มความต้านทานต่อ โรคหัวใจ โดยการไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระดับ คลอเรสเตอรอล ในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรับประทานร่วมกับ วิตามินอี โดยมันจะไปลดการเกาะตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือด► เนื่องจาก วิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดี มันจึงอาจจะช่วยในการป้องกันและต่อสู้กับโรค มะเร็ง ได้ มีการศึกษาอย่างมากในเรื่องนี้แต่ก็ยังไม่ข้อสรุปที่ชัดเจน โดยยังมีการถกเถียงกันอย่างมากเกี่ยว วิตามินซี กับการป้องกันและต่อสู้กับโรค มะเร็ง► ช่วยในการป้องกันโรคต้อกระจก เนื่องจาก วิตามินซี สามารถช่วยปกป้องเลนส์ตาจากอันตรายต่างๆ เช่น ควันบุหรี่ แสงอุลตร้าไวโอเลต ที่เป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดโรคต้อกระจก มีการศึกษาอันหนึ่งพบว่าผู้หญิงที่รับประทานวิตามินซีมาอย่างน้อย 10 ปี พบว่ามีความเสี่ยงที่จะมีอาการเลนส์ตาขุ่นมัวซึ่งเป็นอาการเริ่มแรกของโรคต้อกระจก ลดลงถึง 77%► บรรเทาอาการแพ้ หอบหืด ไซนัส ทั้งนี้เนื่องจากโดยธรรมชาติแล้ว วิตามินซี มีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านภูมิแพ้ต่างๆ เช่น ฝุ่นละออง เกษรดอกไม้ ซึ่งอาการแพ้เหล่านี้ก็เป็นสาเหตุส่วนหนึ่งของโรคไซนัส นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่า วิตามินซี ช่วยป้องกันและทำให้อาการหอบหืดดีขึ้น► ช่วยป้องกันอาการไมเกรน เมื่อรับประทานร่วมกับ pantothenic acid โดย วิตามินซี จะไปช่วยร่างกายในการต่อสู้กับความเครียดได้ดีขึ้น► ช่วยเรื่องความจำ โดย วิตามินซี จะไปช่วยรักษาสภาพของเซลประสาทและจะได้ผลดียิ่งขึ้นหากรับประทานร่วมกับอาหารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินอี แคโรทีน กิงโกะไบโลบ้า และโคเอนไซม์ Q10ขนาดที่รับประทานในสภาวะปกติปริมาณที่แนะนำให้รับประทานคือ 60 มิลลิกรัมต่อวัน (แต่ในคนที่สูบบุหรี่ 200 มิลลิกรัมต่อวัน) อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารเสริมสุขภาพได้แนะนำว่าเพื่อประสิทธิภาพที่ดีต่อสุขภาพควรจะต้องรับประทานอย่างน้อย 100-200 มิลลิกรัมต่อวัน คนที่มีความเครียดควรรับประทานวันละ 500 มิลลิกรัมต่อวัน แต่หากต้องการผลในด้านการป้งกันโรคต่างๆ เช่น มะเร็ง ความชรา ควรจะรับประทาน 250 – 1,000 มิลลิกรัมหากเราได้รับ วิตามินซี น้อยกว่าที่ร่างกายควรจะได้รับ ก็จะเกิดลักปิดลักเปิด ซึ่งจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นหากขาดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานและไม่ต้องกังวัลว่าจะได้รับมากเกินไป เนื่องจาก วิตามินซี สามารถละลายน้ำได้ดี หากร่างกายไม่ได้ใช้ก็จะมีการขับออกมาได้ทางปัสสาวะ อีกทั้งยังไม่เคยมีรายงานเกี่ยวกับพิษที่เกิดจากการรับประทาน วิตามินซี แม้จะรับประทานในปริมาณที่สูงกว่า 6,000 - 18,000 มิลลิกรัมข้อปฏิบัติในการรับประทานเพื่อประโยชน์สูงสุด► เพื่อให้ได้ผลดีที่สุดควรพิจารณารับประทานร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ เช่น วิตามินอี ฟลาโวนอย จะไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ วิตามินซี► เพื่อสุขภาพทั่วไป ควรรับประทานอย่างน้อย 500 มิลลิกรัมต่อวัน► สำหรับการรับประทานเพื่อการรักษาหรือการป้องกัน ควรรับประทาน 1,000 – 6,000 มิลลิกรัม ขึ้นกับโรคแต่ละชนิด► การรับประทานไม่จำเป็นต้องรับประทานในครั้งเดียวต่อวัน สามารถแบ่งรับประทานเป็นหลายๆ ครั้งต่อวัน► การรับประทาน วิตามินซี ไม่จำเป็นต้องรับประทานพร้อมอาหาร หรือทานอาหารก่อนการรับประทาน►ยังไม่มีรายงานว่า วิตามินซี ชนิดพิเศษพวก Esterifies วิตามินซี จะให้ผลดีกว่าวิตามินซีแบบธรรมดาข้อควรระวัง► การรับประทานในปริมาณสูงๆ อาจจะมีผลต่อการดูดซึมแร่ธาตุอื่นๆ เช่น Copper Selenium►การรับประทานในปริมาณสูงๆ อาจจะมีผลต่อการผิดพลาดของผลตรวจระดับน้ำตาลในปัสสาวะได้► วิตามินซี ทำให้การดูดซึมธาตุเหล็กได้ดี จึงอาจจะเกิดภาวะได้รับธาตุเหล็กเกิน

มันมากับ “กาแฟ” ไม่ใช่คาเฟอีน!!

มันมากับ “กาแฟ” ไม่ใช่คาเฟอีน!!

window.google_render_ad();
กาแฟเป็นทั้งอาหารเช้ากับอาหารว่าง บางครั้งกลายเป็นเพื่อนในยามดึกของหลายๆคนอีกด้วย อะคาท็อกซิน เอ Ochratoxin A ก็เป็นอีกพิษภัยที่มองไม่เห็น
สาร Ochratoxin A ทนความร้อน อุณหภูมิหุงต้มปกติ ไม่สามารถทำลายเจ้าสารพิษชนิดนี้ได้ มันชอบอยู่ในสภาวะที่มีความชื้นและมีอุณหภูมิระดับปานกลาง
มักพบปนเปื้อนอยู่ในเมล็ดธัญชาติ โกโก้ เมล็ดกาแฟ ชีส และผลไม้ อบแห้ง เช่น องุ่นอบแห้ง หรือที่เรียกว่า wine fruit
นอกจากนี้ ในบางครั้งยังพบในหมู และผลิตภัณฑ์จากหมู เช่น แฮม ไส้กรอก เบคอน ทั้งนี้ เนื่องจากหมูอาจกินอาหารที่มีการปนเปื้อนของสารตัวนี้
เมื่อร่างกายได้รับสาร Ochratoxin A เข้าสู่ร่างกายจะทำให้เกิดการตายของเนื้อเยื่อ เนื่องจากขาดเลือดมาหล่อเลี้ยง
นอกจากนั้น อาการติดเชื้อของไต (nephropathy) ที่เกิดจาก Ochra- toxin A จะนำไปสู่การเกิดการก่อลูกวิรูป เกิดเนื้องอกในต่อมไต และเกิดเนื้องอกที่ตับในหนูทดลอง แต่ไม่ก่อให้เกิดการกลายพันธุ์
ประเทศแคนาดาและประเทศสมาชิกในสหภาพยุโรปหลายประเทศ ได้สำรวจและเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์อาหารที่มีจำหน่ายภายในประเทศ ที่อาจปนเปื้อน Ochratoxin A นำมาวิเคราะห์
สำหรับปัจจุบันมีมาตรฐานการปนเปื้อนของสาร Ochratoxin A ในอาหารดังนี้
ตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 197 พ.ศ.2543 กำหนดให้กาแฟสำเร็จรูปชนิดเหลว ไม่มีสารพิษจากจุลินทรีย์หรือสารเป็นพิษอื่นในปริมาณที่อาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
มาตรฐาน codex ปริมาณสูงสุดที่อนุญาตให้ปนเปื้อนในเมล็ดข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวไรย์ดิบ และผลิตภัณฑ์ที่ได้จากเมล็ดข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวไรย์ เท่ากับ 5 ไมโครกรัม/กิโลกรัม (report April 2002)
วันนี้สถาบันอาหารสุ่มตัวอย่างกาแฟสำเร็จรูปในท้องตลาด 5 ตัวอย่าง มีถึง 2 ตัวอย่างที่เกินมาตรฐานสูงมาก
เห็นกันอย่างนี้แล้ว คอกาแฟทั้งหลายคงต้องระมัดระวังกันเพิ่มขึ้น “มัน” ไม่ได้มีเฉพาะคาเฟอีนเท่านั้น......

บำรุงผิวหน้าตามลักษณะผิว

บำรุงผิวหน้าตามลักษณะผิว

window.google_render_ad();
เลือกสภาพผิวในแบบที่คุณต้องการแล้วเริ่มลงมือกันเลย
• ผิวหน้าหยาบกร้าน ใช้มะละกอสุกบด 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำผึ้งและนมสดอย่างละ ½ ช้อนชา พอกทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออก
• ผิวแห้ง ใช้แตงกวาบด 1 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำผึ้ง ½ ช้อนชา และน้ำมะนาว 1 ช้อนชา พอกทิ้งไว้ 15-20 นาทีแล้วล้างออก
• ผิวเป็นสิว ใช้ขมิ้นผง 1 ช้อนชาผสมกับน้ำผึ้ง ½ ช้อนชาและโยเกิร์ต 1 ช้อนชา พอกทิ้งไว้ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น
• ผิวหน้ามีฝ้าและจุดด่างดำ ใช้หัวไชเท้าบด 1 ช้อนชา น้ำผึ้ง ½ ช้อนชา พอกทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออก
• ผิวรูขุมขนกว้าง ใช้มะเขือเทศบด 1 ช้อนโต๊ะ ผสมโยเกิร์ตและน้ำผึ้งอย่างละ 1 ช้อนชา พอกทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออก
ที่มา นิตยสาร Hair

วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

โรงเรียนตอนอยู่มอปลาย

โรงเรียนพิบูลวิทยาลัย
โรงเรียนตอนอยู่ชั้นมัธยมตอนปลาย





โรงเรียนกำเนิดครั้งแรกที่วัดเสาธงทอง ต.ท่าหิน อ.เมืองลพบุรี จ.ลพบุรี มีท่านพระครูีลวลพบุรีคณาจารย์ (เนียม ภุมมสโร) เจ้าอาวาสวัดเสาธงทอง ต่อมาเลื่อน สมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ ที่ พระสังฆภารวาหมุนี ดำรงตำแหน่งผู้กำกับคณะสงฆ์ จังหวัดลพบุรี เป็นองค์ริเริ่มก่อตั้งมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2442 ใช้ตึดคชสาร หรือ โคโรซาน เป็นที่เรียน มีนักเรียนครั้งแรก 18 คน จ้างครูมาสอนโดยทุนของท่านเจ้าคุณ ต่อมามีนักเรียนมากขึ้นได้สร้างสถานที่ เรียนด้ารทิศเหนือตึกปิจู ในวัดเสาธงทอง เป็นที่เรียน มีนักเรียนประมาณ 150 คน (ตึกทั้งสองใช้เป็นที่พักและที่ทำงานของครู ปัจจุบัน กรมศิลปากร ได้บูรณะและขึ้นทะเบียนไว้แล้ว) โรงเรียนที่ตั้งขึ้นนี้ชื่อว่า "โรงเรียนประจำเมืองลพบุรี วัดเสาธงทอง"
เมื่อนักเรียนมากขึ้น ได้ย้ายมาสร้างที่เรียนใหม่ บริเวณบ้านหลวงรับราชทูต (บ้านวิชาเยนทร์) สร้างโดยทุนของเท่านเจ้าคุณพระสังฆภารวามุนี ร่วมกับเงินบริจาคของประชาชน และส่วนราชการธรรมการจังหวัดลพบุรี ย้ายนักเรียนมาเรียนที่ใหม่ เมื่อปี 2458 และใช้ชื่อว่า โรงเรียนประจำจังหวัดลพบุรี "วิชาเยนทร์" ชั้นมัธยมปีที่ 1 ถึง ชั้นมัธยมปีที่ 3 ได้ปรับปรุงกิจการลูกเสือขึ้น ลูกเสือราบ ลูกเสือม้า ลูกเสือพลาบาล พร้อมที่จะปฏิบัติงานช่วยเหลือทางราชการได้ทุกเวลา โดยทางกรมทหารปืนใหญ่ที่ 3 ส่งครูมาช่วยฝึก ในช่วงนี้มีนักเรียนหญิงมาร่วมเรียนด้วย แต่ไม่ถึง 10 คน เมื่อทางจังหวัดเปิดสตรีขึ้น ชื่อว่า โรงเรียนสตรีลพบุรี "ลวะศรี" นักเรียนหญิงก็ย้ายไปเรียนที่โรงเรียนแห่งใหม่
ปี พ.ศ. 2471 ทางราชการยุบกรมทหารปืนใหญ่ที่ 3 (ซึ่งตั้งอยู่ที่บริเวณโรงเรียนปัจจุบัน) อาคารต่าง ๆ โอนให้กระทรวงธรรมการ โรงเรียนวิชาเยนทร์ จึงย้ายมาอยู่ที่ใหม่ชั่วคราว และทางราชการได้ให้หาสถานที่ ใหม่สร้างอาคารเรียนคือบริเวณด้านเหนือวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ (วัดราชา) สร้างอาคารไม้ 2 ชั้น อาคารเรียนอีก 1 หลัง (อาคารทั้ง 2 ยังอยู่ในปัจจุบัน) ในปี 2473 ได้ย้ายนักเรียนไปเรียนที่ใหม่ พระองค์เจ้าธานีนิวัติ เสนาบดีกระทรวงธรรมการได้เสด็จมาเปิดอาคารเรียน และขนานนามโรงเรียนใหม่ว่า "โรงเรียนประจำจังหวัดลพบุรี พระนารายณ์" ตั้งแต่ีปี 2471 ถึง 2480 การศึกษาได้เจริญขึ้นตามลำดับ เปิดการสอนถึงชั้นมัธยมปีที่ 6 มีนักเรียนประมาณ 300 คน ครุ 12 คน อาคารดังกล่าว ปัจุบัน เป็นที่ทำการ หน่วยศิลปากรที่ 1 ลพบุรี และบริเวณโรงเรียนก็คือ สวนราชานุสรณ์
เมื่อ พล.ต. หลวงพิบูลสงคราม(ฯพณฯ จอมพล ป. พิบูลสงคราม) เป็นนายกรัฐมนตรี ได้บูรณะเมืองลพบุรี ให้เป็นเมืองทหารปรับปรุงผังเมืองใหม่ ตั้งแต่ทางรถไฟไปจนถึงเมืองใหม่ ขณะเดียวกันก็คำนึงถึงการศึกษาไปด้วย เห็นว่าโรงเรียนเดิมที่คับแคบมาก จึงหาที่เรียนใหม่ เห็นว่าบริเวณกรมทหารปืนใหญ่ที่ 3 เดิม มีที่มากจึงสร้างอาคารเรียนใหม่คือตึก 1 ด้วยงบประมาณของการทรวงกลาโหม ปี 2481 ได้ย้ายนักเรียนมาสอนที่โรงเรียนใหม่ และเปลี่ยนชื่อโรงเรียนเป็น "โรงเรียนประจำจังหวัดลพบุรี พิบูลวิทยาลัย" อันเป็นมงคลนามของนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้สถาปนาโรงเรียนใหม่
ปี 2481 สร้างตึก 2 และโรงอาหาร เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 โรงเรียนปิดชั่วคราวเนื่องจากทหารญี่ปุ่นเข้ามาพักในโรงเรียน และใช้ตึก 2 เป็นที่พักนักเรียนต้องอพยพย้ายไปเรียนตามโรงเรียนวัดต่าง ๆ เมื่อสงครามสงบก็กลับมาเรียนที่เดิม

กระทรวงศึกษาธิการ ได้เปิดแผนฝึกหัดครูขึ้น ชื่อว่า โรงเรียนฝึกหัดครูพิบูลวิทยาลัย เปิดสอนเมื่อ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2488 รับนักเรียนที่จบชั้น ม.6 มาเรียน 3 ปี ได้วุฒิ ป.ป. แผนกฝึกหัดครู เปิดสอนอยู่ถึงปี 2489 ก็ยุบนำนักเรียนไปเรียนฝึกหัดครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ธนบุรี ปี 2497 สร้างตึก 3 หอประชุม เปิดการเรียนการสอน ถึงชั้นเตรียมอุดมศึกษา(มัธยมปีที่ 7) จัดเป็นสหศึกษา มีนักเรียนหญิงมาเรียนในชั้นมัธยมศึกษาเป็นรุ่นแรก สร้างบ้านพักครู ตึกแถว 10 ห้อง ปี 2498 เปิดรับนักเรียนหญิงที่จบชั้น ป.4 มาเรียนชั้น ม.1 เป็นรุ่นแรกปี 2502 จัดเป็นโรงเรียนประเคราะห์ ภาคการศึกษา6ปี 2510 ก่อสร้างอาคารเรียนอุตสาหกรรม จัดเป็นโรงเรียนมัธยมแบบประสม (ค.ม.ส.) รุ่นแรกของกรมสามัญศึกษา สร้างอาคารเรียนตึก 4 บ้านพักครู 10 หลัง บ้านพักภารโรง 6 หลัง
ปี 2512 สร้างอาคารเรียนคหกรรมบ้านพักครู 10 หลัง ปี 2519 โรงเรียนได้รับคัดเลือกเป็นโรงเรียนพระราชทานดีเด่นขนาดใหญ่ของกรมสามัญศึกษาปี 2520 สร้างอาคารเรียนตึก 5 เปิดสอนตามหลักสูตร มศ.1 และปี 2521 เปิดสอนตามหลักสูตร ม.1ปี 2526 สร้างอาคารเรียนอเนกประสงค์ (อาคารพลานามัย) ปี 2537 สร้างหอประชุมใหม่ (หอประชุมพิบูลสงคราม)ปี 2541 สร้างอาคารเรียนตึก 6 อาคาร 4 ชั้นใต้ถุนโล่ง 24 ห้องเรียน





ในปี 2522 พิบูลวิทยาลัย มีนักเรียนมากประมาณ 5,400 คน ครูประมาณ 320 คน โรงเรียนจึงได้ไปสร้างโรงเรียนแห่งใหม่ โดยแยก ม.1 ไปในปี 2523 โดย ใช้ชื่อว่า โรงเรียนพิบูลวิทยาลัย 2 ต่อมากรมสามัญศึกษาได้เปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนพระนารายณ์ ตามชื่อเดิมของโรงเรียนประจำจังหวัดลพบุรี พระนารายณ์ โรงเรียนตั้งอยู่ที่ ต.ท่าศาลา อ.เมืองลพบุรี จ.ลพบุรี เปิดสอนระดับชั้น ม.1 ม.2 และ ม.3
ปัจจุบัน โรงเรียนพิบูลวิทยาลัย เปิดสอนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายคือชั้น ม.4 ม.5 และ ม.6 เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายแห่งแรกและแห่งเดียวของกรมสามัญศึกษาในภูมิภาค มีห้องรวม 78 ห้อง นักเรียนประมาณ 3,000 คน ครูอาจารย์ 163 คน มีอาคารเรียนรวม 6 หลัง อาคารชั่วคราว อาคารประกอบอีกมากมาย ประวัติและผลงาน ของโรงเรียนดีเด่นตลอดมาทั้งการเรียนในสายสามัญ วิชาชีพ ศิลปะ ดนตรี กีฬา และกิจกรรมต่าง ๆ ศิษย์เก่าของโรงเรียน ตั้งแต่รุ่นวัดเสาธงทองวิชาเยนทร์ - พระนารายณ์ จนมาถึงพิบูลวิทยาลัย ได้สร้างชื่อเสียงให้แก่ทางโรงเรียน ได้ประกอบอาชีพทางการงาน ทั้งส่วนราชการ ส่วนตัว สร้างประโยชน์แก่สังคมส่วนรวมเป็นจำนวนมาก นับแต่อดีต มาจนถึงปัจุบันนี้







เมาแล้วขับถูกจับแน่


เมาแล้วขับถูกจับแน่

ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ร่วมกับ บริษัทดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) จำกัด และกองบังคับการตำรวจทางหลวง ขานรับการแก้ปัญหา ที่ต้นเหตุ “เมาแล้วขับ โดนจับแน่” รับมือสงกรานต์ปีนี้ ประเดิมเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ในลมหายใจ ฝีมือคนไทย โดยวันนี้ (1 เม.ย.2552 ) พ.ต.อ.สมยศ พรหมนิ่ม รรท.ผบก.ทล. , พ.ต.อ.พินิต มณีรัตน์ รอง ผบก.ทล. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจให้การต้อนรับ นายวรเทพ รางชัยกุล ประธานบริษัท ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) จำกัด และ ดร.พันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้อำนวยการ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ แห่งชาติ (เนคเทค) ได้มามอบเครื่อง จำนวน 190 เครื่อง เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของตำรวจทางหลวงในการรณรงค์ป้องกันอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยเฉพาะช่วง 7 วันอันตรายในเทศกาลสงกรานต์ที่จะถึงนี้ ที่ห้องประชุม กองบังคับการตำรวจทางหลวง โดยมี ดร.กว้าน สีตะธนี ร.ผศอ. ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผอ.ฝ่าย หน่วยปฏิบัติการวิจัยนาโนอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องกลจุลภาค ดร.กัลยา อุดมวิทิต ผอ.ฝ่ายพัฒนาธุรกิจและถ่ายทอดเทคโนโลยี ร่วมเป็นเกียรติในการลงนามความร่วมมือ และการมอบเครื่องตรวจวัดดังกล่าว






พ.ต.อ. พินิต มณีรัตน์ รองผู้บังคับการตำรวจทางหลวง กล่าวว่า อุบัติเหตุบนท้องถนนส่วนใหญ่ มาจากผู้ขับขี่ที่ประมาท ขาดสติ ซึ่งไม่ใช่เกิดจากการดื่มสุราเพียงอย่างเดียว ง่วงก็ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ แต่เนื่องจากสงกรานต์เป็นเทศกาลเฉลิมฉลอง ซึ่งนิสัยคนไทยเป็นคนชอบสนุก ชอบดื่ม สังสรรค์ เฮฮา การแก้ปัญหาจึงต้องมองที่ต้นเหตุคือ เมื่อดื่มสุราแล้วต้องไม่ขับรถ ต้องดื่มอย่างรับผิดชอบ ไม่ทำให้ตัวเองและ คนรอบข้างเดือดร้อน สำหรับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะกวดขันการขับขี่ในถนนสายรองมากขึ้น เพราะเป็นจุดที่ อุบัติเหตุส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นในช่วงเทศกาลจะเกิดขึ้นที่นี่ และมักจะเกิดกับผู้ขี่รถจักรยานยนต์ สำหรับสงกรานต์ปีนี้ เราจะเพิ่มจุดตรวจวัดแอลกอฮอล์ในพื้นที่เสี่ยงมากขึ้น ซึ่งต้องขอขอบคุณ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และ คอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ที่ได้คิดค้นและพัฒนา เครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ในลมหายใจ ซึ่งเป็นงานวิจัย ระดับมาตรฐานโลกฝีมือคนไทย พร้อมกันนี้ เนคเทคยังได้จับมือกับภาคเอกชนอย่างบริษัทดิอาจิโอฯ ที่เห็น ความสำคัญของการบังคับใช้กฎหมายในการสนับสนุนการทำงานของตำรวจ โดยมอบเครื่องตรวจวัด แอลกอฮอล์ในลมหายใจ 190 เครื่อง ซึ่งจะกระจายใช้ตามจุดตรวจ ถนนสายทางหลวงทั่วประเทศ
“การดื่มและขับนั้น หากมีระดับแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์แล้ว นอกจากจะถูกจับ ปรับแน่ ผู้ดื่มยังมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุมากกว่าคนปกติสูงถึง 6 เท่า เพราะความสามารถในการควบคุมรถ จะลดลง มองเห็นได้ไม่ชัด กะระยะไม่ถูก ผมอยากจะเห็นการให้ความรู้กับผู้ดื่มและขับมากขึ้น และการร่วมมือกัน ของทุกภาคส่วนในลักษณะแบบนี้ ซึ่งเชื่อแน่ว่าจะสามารถแก้ปัญหาการเกิดอุบัติเหตุที่ต้นเหตุในช่วงเทศกาล สงกรานต์ได้อย่างแน่นอน” พ.ต.อ. พินิต กล่าว
นายวรเทพ รางชัยกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ดิอาจิโอฯ ยึดมั่นการดำเนินธุรกิจภายใต้กฎหมายมาโดยตลอด ดังนั้น การแก้ปัญหาอุบัติเหตุ ในช่วงสงกรานต์ก็เช่นเดียวกัน จะต้องมีการบังคับใช้กฎหมายให้เข้มงวดมากขึ้น จึงจะเป็นการแก้ปัญหา ที่ต้นเหตุจริงๆ เพราะการห้ามขายเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้น และเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของ เจ้าหน้าที่ตำรวจในช่วงเทศกาลสงกรานต์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ดิอาจิโอฯ จึงได้มอบเครื่องตรวจวัด แอลกอฮอล์ในลมหายใจให้กับกองบังคับการตำรวจทางหลวง ตอกย้ำการรณรงค์ดื่มอย่างรับผิดชอบ ภายใต้โครงการ “ดื่มไม่ขับ กลับบ้านปลอดภัย” ซึ่งดิอาจิโอฯ ได้ทำมาอย่างต่อเนื่องไม่ใช่เฉพาะช่วงเทศกาลเท่านั้น”
ดร.พันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้อำนวยการ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ แห่งชาติ (เนคเทค) กล่าวว่า เราตระหนักดีว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องทำงานอย่างหนัก เกี่ยวกับการรณรงค์ และการปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็งเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นจากการดื่มสุราแล้วขับขี่ โดยเฉพาะ ในช่วงเทศกาลสำคัญๆ เช่น เทศกาลสงกรานต์ที่กำลังจะมาถึงนี้ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดย เนคเทค/สวทช. ซึ่งได้มีการวิจัยพัฒนาและผลิตเครื่องเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ในลมหายใจอยู่แล้ว จึงได้นำอุปกรณ์ดังกล่าวมอบให้กับกองบังคับการตำรวจทางหลวง เพื่อร่วมรณรงค์ลดอุบัติเหตุในช่วง เทศกาลสงกรานต์ ซึ่งจะช่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจในการปฏิบัติหน้าที่ ตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในลมหายใจ ของผู้ขับขี่ยานพาหนะ ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว พกพาสะดวก ง่ายต่อการใช้งานเพราะใช้เวลาเพียง 2-5 วินาทีก็ทราบผล ถ้าหากแอลกอฮอล์ในร่างกาย เกินอัตราที่กฎหมายกำหนดคือ เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จะสามารถรู้ผลได้ทันทีจากเสียงเตือนของเครื่อง และสัญญาณไฟสีแดงแสดงบนหน้าจอของเครื่องวัด
“เครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ในลมหายใจที่เนคเทควิจัยพัฒนาขึ้น เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงสามารถตรวจสอบผู้มีปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายในเบื้องต้นได้เป็นอย่างดี จะเป็นการสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการตรวจจับผู้ขับขี่ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดสูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด นอกจากจะเป็นการช่วยลดอุบัติเหตุ และรักษาชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนแล้ว ที่สำคัญอย่างยิ่ง ผลงานนี้เป็นการประดิษฐ์คิดค้นของคนไทยเราเอง ทำให้ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย จากการนำเข้าอุปกรณ์จากต่างประเทศที่มีราคาแพง และลดงบประมาณของภาครัฐในการดูแลรักษาเครื่องอีกด้วย”
ข้อมูลเพิ่มเติมเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ในลมหายใจ
เครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ในลมหายใจแบบ Screening (SAM-05) เป็นเครื่องที่หัววัดสร้างจาก เทคโนโลยีของ Semiconductor Sensor ที่ราคาไม่แพง สามารถนำไปใช้ตรวจวัดเบื้องต้นเพื่อช่วยลดระยะเวลา การตรวจจับผู้ขับขี่โดย ที่ผู้ขับขี่ไม่จำเป็นต้องลงจากยานพาหนะเครื่องมือดังกล่าวไม่จำเป็นต้อง ให้หลอดเป่า จึงลดการสิ้นเปลืองนอกจากนี้เครื่องวัดฯ ยังมีรูปแบบทันสมัย น้ำหนักเบาเหมาะกับการใช้งาน และมีความไวสูง สามารถวัดจากลมหายใจโดยตรง รู้ผลเร็วหากมีผู้ขับขี่บนท้องถนนหนาแน่น จะช่วยทำให้ลดระยะเวลาตรวจวัด โดย ไม่ต้องใช้เครื่องตรวจวัดแบบเป่าที่นำเข้าจากต่างประเทศ และมีราคาแพง
การตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์จากลมหายใจ เป็นการทำงานที่อาศัยหลักการที่ว่า เมื่อกระแสเลือดไหล ไปที่ปอด เพื่อแลกเปลี่ยนแก๊สออกซิเจน และคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ เข้า-ออกจากร่างกาย แอลกอฮอล์ ในกระแสเลือดบางส่วนจะซึมผ่านออกจากปอดด้วย ซึ่งระดับความเข้มข้นแอลกอฮอล์จากปอดจะสัมพันธ์ โดยตรงกับระดับความเข้มข้นแอลกอฮอล์ในเลือด ดังนั้นเมื่อหายใจออกมา แอลกอฮอล์จะถูกขับออกจาก ปอดด้วยเช่นกัน

กฏหมายควรรู้

กฏหมายควรรู้
นิรโทษกรรมคืออะไร

นิรโทษกรรมหมายถึง การตรากฎหมายย้อนหลังเป็นคุณเเก่ผู้กระทำความผิดทางการเมืองหรือความผิดอาญาก็ได้ เเก่บุคคล หรือ กลุ่มบุคคล โดยบุคคลดังกล่าวจะไม่ตกอยู่ภายใต้การดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยมีความมุ่งหมายเพื่อให้ลืมความบาดหมางกับเหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นเเล้ว


เงื่อนไขด้าน “องค์กร” ผู้มีอำนาจตรากฎหมายนิรโทษกรรม
จากการศึกษากฎหมายนิรโทษกรรมของไทยที่ผ่านมาในอดีต ซึ่งปรากฎอยู่หลายฉบับ พบว่า หากไม่นับพระราชกำหนดนิรโทษกรรมในคราวเปลี่ยนเเปลงการปกครองเเผ่นดิน พุทธศักราช 2475 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานนั้น โดยปกติ กฎหมายนิรโทษกรรมจะตราอยู่ในรูปของ “พระราชบัญญัติ” หรือ “พระราชกำหนด” เท่านั้น ซึ่งหมายความว่า ฝ่ายนิติบัญญัติหรือฝ่ายบริหารเท่านั้นที่มีอำนาจตรากฎหมายนิรโทษกรรม
เเต่ร่างรัฐธรรมนูญ 2550 (ซึ่งผู้ร่าง ประสงค์จะให้เป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับถาวร เเละเป็นผลผลิตของส.ส.ร. ที่มาจากคมช.) เดินตามมาตรา 222 ของรัฐธรรมนูญปี 2534 ซึ่งออกในสมัยรสช. โดยมาตรา 309 กลับรับรองเรื่องนิรโทษกรรมไว้ ขณะที่หากเปรียบเทียบกับรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2517 ที่ร่างในบรรยากาศประชาธิปไตยมากกว่านี้ มาตรา 4[1] กลับห้ามมิให้มีการนิรโทษกรรมไว้อย่างชัดเจน
เนื่องจากมีหลักกฎหมายทั่วไปว่า “บุคคลไม่สามารถอ้างประโยชน์จากการกระทำความผิดของตนได้” หรือหลัก “ไม่มีใครเป็นผู้พิพากษาในเรื่องที่ตนเองมีส่วนได้เสีย” [2] การออกกฎหมายนิรโทษกรรม ควรให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเป็นผู้พิจารณาในเรื่องนี้จะสมควรกว่า
อีกทั้งมีเรื่องการลงประชามติของรัฐธรรมนูญด้วย ซึ่งไม่ควร “ยืมมือประชาชน” มาฟอกตัวให้กับผู้กระทำความผิดฐานล้มล้างรัฐธรรมนูญเเละองค์กรเฉพาะกิจอย่างคตส.ด้วย
เงื่อนไขด้าน “เวลา”
รากศัพท์ของคำว่า “amnesty” มาจากภาษากรีก คือ “amnestia” เเปลว่า “ทำให้ลืม” คือลืมจากเหตุการณ์หรือความผิดในอดีต (past offense)
วัตถุประสงค์ของกฎหมายนิรโทษกรรมคือ ทำให้สังคมลืมเหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นเเละสิ้นสุดลงเเล้ว ดังนั้น ในกฎหมายนิรโทษกรรมของไทยนั้น ในอดีตจะเขียนไว้ในสองลักษณะ
ลักษณะเเรก จะกำหนดวันที่จะได้รับนิรโทษกรรมไว้อย่างชัดเจน เช่น พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมเเก่นักเรียน นิสิต นักศึกษาเเละประชาชน ซึ่งกระทำความผิดเกี่ยวเนื่องกับการเดินขบวนเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2516
ลักษณะที่สอง ซึ่งมักจะใช้กับการนิรโทษกรรมเเก่ผู้กระทำรัฐประหารนั้น กฎหมายมักจะเขียนนิรโทษกรรมกับบรรดาการกระทำที่เกิดขึ้นก่อนที่กฎหมายนิรโทษกรรมจะประกาศใช้ ดังปรากฎให้เห็นจาก พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมเเก่ผู้ทำรัฐประหาร พ.ศ. 2490 มาตรา 3 ซึ่งบัญญัติว่า
“บรรดาการกระทำทั้งหลายทั้งสิ้นของบุคคลใดๆ ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เนื่องในการกระทำรัฐประหารเพื่อเลิกใช้รัฐธรรมนูญเเห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 เเละประกาศใช้รัฐธรรมนูญเเห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 หากเป็นการผิดกฎหมายใดๆ ก็ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิดเเละความรับผิดโดยสิ้นเชิง เเละการใดๆ ที่ได้กระทำ ตลอดจนบรรดาประกาศเเละคำสั่งใดๆ ที่ได้ออกสืบเนื่องในการกระทำรัฐประหารที่กล่าวเเล้ว ให้ถือว่าเป็นอันชอบด้วยกฎหมายทุกประการ”
ความทำนองเดียวกันก็ปรากฎในพระราชนิรโทษกรรมเเก่ผู้กระทำการยึดอำนาจการบริหารราชการเเผ่นดินเมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 (มาตรา 3) เเละ พระราชนิรโทษกรรมเเก่ผู้กระทำการปฎิวัติเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 (มาตรา 3) เเละ พระราชนิรโทษกรรมเเก่ผู้กระทำการปฎิวัติเมื่อวันที่ 17 พฤศจิการยน พ.ศ. 2514 (มาตรา 3)
กล่าวให้ง่ายเข้า กฎหมายจะนิรโทษกรรมได้ 3 ช่วงเวลาเท่านั้นคือ
1. ก่อนวันทำรัฐประหาร (เช่นการตระเตรียมการทั้งหลาย)
2. วันทำรัฐประหาร เเละ
3. หลังวันทำรัฐประหาร
เเต่ทั้งนี้ ต้องก่อนวันที่พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมมีผลใช้บังคับเท่านั้น ซึ่งก็ต้องไปดูว่า กฎหมายนิรโทษกรรมฉบับนั้นๆ มีผลใช้บังคับเมื่อใด โดยปกติเเล้วจะเขียนไว้สองเเบบคือ มีผลให้ใช้บังคับตั้งเเต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา หรือวันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ซึ่งหมายความว่า การกระทำหลังจากกฎหมายนิรโทษกรรม เเม้จะเกิดขึ้นเป็นผลเกี่ยวเนื่องหลังจากวันทำรัฐประหารก็ตาม เเต่หากการกระทำนั้นมีผลต่อเนื่องมายังวันที่กฎหมายนิรโทษกรรมมีผลใช้บังคับเเล้ว ความผิดต่อเนื่องที่เกิดขึ้นภายหลังจากวันที่กฎหมายนิรโทษกรรมมีผลใช้บังคับ ก็ไม่ได้รับการยกเว้นความผิดอีกต่อไป
ยกตัวอย่างเช่น พ.ร.บ. นิรโทษกรรมเเก่ผู้กระทำการปฎิวัติเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 มาตรา 3 บัญญัติว่า “บรรดาการกระทำทั้งหลายทั้งสิ้นของบุคคลใดๆ ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ซึ่งได้กระทำเนื่องในการปฎิวัติเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 ก็ดี ….เเละไม่ว่ากระทำในวันที่กล่าวนั้น หรือก่อนหรือหลังวันที่กล่าวนั้น หากการกระทำนั้นผิดกฎหมาย ก็ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิด….”
ผลในทางกฎหมายก็คือ “การกระทำในวันที่กล่าวนั้น” ซึ่งหมายถึงวันทำรัฐประหารในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 เเละ “ก่อนวันที่กล่าวนั้น” ซึ่งหมายถึงวันก่อนวันทำรัฐประหาร หรือก่อนวันที่ 20 ตุลาคม เเละ “หลังวันที่กล่าวนั้น” คือหลังวันทำรัฐประหารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 ย่อมได้รับการนิรโทษกรรม
เเต่เมื่อมาตรา 3 บัญญัติว่า “ให้ใช้กับบรรดาการกระทำก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ” ก็ต้องไปดูว่า กฎหมายนี้ใช้บังคับเมื่อใด
มาตรา 2 ของพ.ร.บ.นี้ระบุว่า “พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งเเต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป” พ.ร.บ. นิรโทษกรรมเเก่ผู้กระทำการปฎิวัติเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 ประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2502 ดังนั้น บรรดาการกระทำที่กระทำขึ้นก่อนวันทำรัฐประหารในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 ก็ดี วันทำรัฐประหารในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 ก็ดี เเละรวมถึงวันหลังวันทำรัฐประหารก็ดี เรื่อยมาจนถึงวันที่ 2 เมษายน 2502 ก็ดี ล้วนได้รับการนิรโทษกรรมทั้งสิ้น
เเต่บรรดาการกระทำนับตั้งเเต่วันที่ 3 เมษายน 2502 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นวันที่กฎหมายนิรโทษกรรมเริ่มประกาศใช้ เเม้จะเป็นผลมาจากการปฎิบัติตาม “คำสั่ง” หรือ “ประกาศ” ของคณะรัฐประหารก็ตาม ย่อมไม่ได้รับอานิสงค์ของกฎหมายนิรโทษกรรมด้วย ซึ่งย่อมหมายความว่า การกระทำนั้น ๆ เป็นความผิดเเละต้องได้รับโทษ