วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

วิตามินซี ( Vitamin C )

วิตามินซี ( Vitamin C )

window.google_render_ad();
วิตามินซี คืออะไรประวัติการค้นพบ วิตามินซี เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่สมัย ศตวรรษที่ 18 มีการสังเกตว่าพวกทหารเรือที่มีการรอนแรมออกเดินเรือไปในทะเลเป็นเวลานานๆ ซึ่งมักจะขาดแคลนพวกผักสดผลไม้สด จะป่วยเป็นโรคลักปิดลักเปิด และสุขภาพไม่ค่อยดี มีอาการอ่อนเพลีย อยู่บ่อยๆ แต่ก็มีคนสังเกตเห็นว่าจะไม่พบอาการดังกล่าวในทหารเรือที่รับประทานมะนาวเป็นประจำ และเมื่อต่อมาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก้าวหน้ามากขึ้น ในปี 1982 ก็สามารถหาสารอาหารสำคัญที่เป็นต้นเหตุของโรคดังกล่าวได้ว่าสารที่พวกทหารเรือขาดไปคือ “กรดแอสคอร์บิค (Ascorbic acid)” ซึ่งมันมีฤทธิ์สามารถช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิดได้ ในปัจจุบัน กรดแอสคอร์บิค ก็ถูกรู้จักกันโดยทั่วไปในชื่อของ “วิตามินซี” และมีนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งซึ่งเคยได้รับรางวัลโนเบลถึง 2ครั้ง และมีอายุยืนยาวมากกว่า 90 ปีแม้จะป่วยเป็นโรค มะเร็ง มายาวนานถึง 20 ปีก็ตามคือ Dr.Linus Pauling ชาวเมืองพอรต์แลนด์ ได้เคยพูดไว้ว่า เหตุที่เขาสามารถมีสุขภาพดีและสามารถชะลอการลุกลามของโรค มะเร็ง ในตัวได้นานกว่า 20 ปี ก็เนื่องจาก วิตามิน และ เกลือแร่ ที่เขารับประทานเข้าไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิตามินซี ซึ่งหลังจากที่เขารับประทานขนาดสูงทุกวัน เขาก็ไม่เคยเป็นหวัดอีกเลย Dr.Linus Pauling เริ่มรับประทาน วิตามินซี ชนิดเม็ดตั้งแต่อายุ 40 ปี และเพิ่มขนาดสูงถึง 18,000 มิลลิกรัม เมื่อรู้ว่าตนเองเป็น มะเร็ง ตั้งแต่อายุได้ 64 ปี เขายืนยันว่ามันช่วยให้ มะเร็ง ในร่างกายสงบลงประโยชน์ของ วิตามินซีเราทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่า วิตามินซี มีประโยชน์มากมากหลายอย่าง ไม่ว่าจะช่วยปกป้องเซล เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน สุขภาพและความแข็งแรงของเนื้อเยื่อในร่างกายที่เกี่ยวข้องกับ เส้นเอ็น และคอลลาเจน ก็มีผลมาจากปริมาณ วิตามินซี ในร่างกาย และ วิตามินซี ยังมีฤทธิ์ในการเป็นสารแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ที่ดี จึงสามารถป้องกันการทำลายเซลจากอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี และมันช่วยให้ร่างกายสามารถรีไซเคิลสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ ดังนั้นเพื่อประโยชน์สูงสุดจึงควรที่จะรับประทาน วิตามินซี ร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินอี แคโรทีน ฟลาโวนอย เป็นต้นนอกจากนี้ วิตามินซี ยังมีประโยชน์ด้านอื่นๆ อีก คือ► วิตามินซี ช่วยบรรเทาความรุนแรงและระยะเวลาของการเป็นโรคหวัด หากเริ่มรับประทาน วิตามินซี ตั้งแต่เริ่มแรกที่เห็นอาการของโรคหวัด จะช่วยให้อาการป่วยลดความรุนแรงและหายได้เร็วขึ้น มีการศึกษาเมื่อปี 1995 พบว่าหากรับประทาน วิตามินซี 1,000 ถึง 6,000 มิลลิกรัมต่อวันตั้งแต่เริ่มมีอาการของโรคหวัด จะช่วยให้หายได้เร็วขึ้น 21% แต่ก็ยังไม่มีรายงานว่า วิตามินซี สามารถช่วยป้องกันโรคหวัดได้► วิตามินซี ช่วยให้แผลหายได้เร็วขึ้น เนื่องจาก วิตามินซี ช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมและรักษาตัวเองโดยการไปเสริมสร้างผนังเซล ทำให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรง และต่อต้านอาการอักเสบ จึงทำให้แผลหายได้เร็วขึ้น ในทางกลับกันการขาด วิตามินซี ก็สงผลให้แผลให้ได้ช้าลงเช่นกัน► หากรับประทาน วิตามินซี เป็นประจำทุกวัน มันจะช่วยให้เหงือกมีสุขภาพแข็งแรง โดย วิตามินซี จะไปช่วยรักษาเซลที่ถูกทำลายและช่วยให้แผลที่เหงือกหายเร็ว► เพิ่มความต้านทานต่อ โรคหัวใจ โดยการไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระดับ คลอเรสเตอรอล ในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรับประทานร่วมกับ วิตามินอี โดยมันจะไปลดการเกาะตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือด► เนื่องจาก วิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดี มันจึงอาจจะช่วยในการป้องกันและต่อสู้กับโรค มะเร็ง ได้ มีการศึกษาอย่างมากในเรื่องนี้แต่ก็ยังไม่ข้อสรุปที่ชัดเจน โดยยังมีการถกเถียงกันอย่างมากเกี่ยว วิตามินซี กับการป้องกันและต่อสู้กับโรค มะเร็ง► ช่วยในการป้องกันโรคต้อกระจก เนื่องจาก วิตามินซี สามารถช่วยปกป้องเลนส์ตาจากอันตรายต่างๆ เช่น ควันบุหรี่ แสงอุลตร้าไวโอเลต ที่เป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดโรคต้อกระจก มีการศึกษาอันหนึ่งพบว่าผู้หญิงที่รับประทานวิตามินซีมาอย่างน้อย 10 ปี พบว่ามีความเสี่ยงที่จะมีอาการเลนส์ตาขุ่นมัวซึ่งเป็นอาการเริ่มแรกของโรคต้อกระจก ลดลงถึง 77%► บรรเทาอาการแพ้ หอบหืด ไซนัส ทั้งนี้เนื่องจากโดยธรรมชาติแล้ว วิตามินซี มีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านภูมิแพ้ต่างๆ เช่น ฝุ่นละออง เกษรดอกไม้ ซึ่งอาการแพ้เหล่านี้ก็เป็นสาเหตุส่วนหนึ่งของโรคไซนัส นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่า วิตามินซี ช่วยป้องกันและทำให้อาการหอบหืดดีขึ้น► ช่วยป้องกันอาการไมเกรน เมื่อรับประทานร่วมกับ pantothenic acid โดย วิตามินซี จะไปช่วยร่างกายในการต่อสู้กับความเครียดได้ดีขึ้น► ช่วยเรื่องความจำ โดย วิตามินซี จะไปช่วยรักษาสภาพของเซลประสาทและจะได้ผลดียิ่งขึ้นหากรับประทานร่วมกับอาหารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินอี แคโรทีน กิงโกะไบโลบ้า และโคเอนไซม์ Q10ขนาดที่รับประทานในสภาวะปกติปริมาณที่แนะนำให้รับประทานคือ 60 มิลลิกรัมต่อวัน (แต่ในคนที่สูบบุหรี่ 200 มิลลิกรัมต่อวัน) อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารเสริมสุขภาพได้แนะนำว่าเพื่อประสิทธิภาพที่ดีต่อสุขภาพควรจะต้องรับประทานอย่างน้อย 100-200 มิลลิกรัมต่อวัน คนที่มีความเครียดควรรับประทานวันละ 500 มิลลิกรัมต่อวัน แต่หากต้องการผลในด้านการป้งกันโรคต่างๆ เช่น มะเร็ง ความชรา ควรจะรับประทาน 250 – 1,000 มิลลิกรัมหากเราได้รับ วิตามินซี น้อยกว่าที่ร่างกายควรจะได้รับ ก็จะเกิดลักปิดลักเปิด ซึ่งจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นหากขาดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานและไม่ต้องกังวัลว่าจะได้รับมากเกินไป เนื่องจาก วิตามินซี สามารถละลายน้ำได้ดี หากร่างกายไม่ได้ใช้ก็จะมีการขับออกมาได้ทางปัสสาวะ อีกทั้งยังไม่เคยมีรายงานเกี่ยวกับพิษที่เกิดจากการรับประทาน วิตามินซี แม้จะรับประทานในปริมาณที่สูงกว่า 6,000 - 18,000 มิลลิกรัมข้อปฏิบัติในการรับประทานเพื่อประโยชน์สูงสุด► เพื่อให้ได้ผลดีที่สุดควรพิจารณารับประทานร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ เช่น วิตามินอี ฟลาโวนอย จะไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ วิตามินซี► เพื่อสุขภาพทั่วไป ควรรับประทานอย่างน้อย 500 มิลลิกรัมต่อวัน► สำหรับการรับประทานเพื่อการรักษาหรือการป้องกัน ควรรับประทาน 1,000 – 6,000 มิลลิกรัม ขึ้นกับโรคแต่ละชนิด► การรับประทานไม่จำเป็นต้องรับประทานในครั้งเดียวต่อวัน สามารถแบ่งรับประทานเป็นหลายๆ ครั้งต่อวัน► การรับประทาน วิตามินซี ไม่จำเป็นต้องรับประทานพร้อมอาหาร หรือทานอาหารก่อนการรับประทาน►ยังไม่มีรายงานว่า วิตามินซี ชนิดพิเศษพวก Esterifies วิตามินซี จะให้ผลดีกว่าวิตามินซีแบบธรรมดาข้อควรระวัง► การรับประทานในปริมาณสูงๆ อาจจะมีผลต่อการดูดซึมแร่ธาตุอื่นๆ เช่น Copper Selenium►การรับประทานในปริมาณสูงๆ อาจจะมีผลต่อการผิดพลาดของผลตรวจระดับน้ำตาลในปัสสาวะได้► วิตามินซี ทำให้การดูดซึมธาตุเหล็กได้ดี จึงอาจจะเกิดภาวะได้รับธาตุเหล็กเกิน

มันมากับ “กาแฟ” ไม่ใช่คาเฟอีน!!

มันมากับ “กาแฟ” ไม่ใช่คาเฟอีน!!

window.google_render_ad();
กาแฟเป็นทั้งอาหารเช้ากับอาหารว่าง บางครั้งกลายเป็นเพื่อนในยามดึกของหลายๆคนอีกด้วย อะคาท็อกซิน เอ Ochratoxin A ก็เป็นอีกพิษภัยที่มองไม่เห็น
สาร Ochratoxin A ทนความร้อน อุณหภูมิหุงต้มปกติ ไม่สามารถทำลายเจ้าสารพิษชนิดนี้ได้ มันชอบอยู่ในสภาวะที่มีความชื้นและมีอุณหภูมิระดับปานกลาง
มักพบปนเปื้อนอยู่ในเมล็ดธัญชาติ โกโก้ เมล็ดกาแฟ ชีส และผลไม้ อบแห้ง เช่น องุ่นอบแห้ง หรือที่เรียกว่า wine fruit
นอกจากนี้ ในบางครั้งยังพบในหมู และผลิตภัณฑ์จากหมู เช่น แฮม ไส้กรอก เบคอน ทั้งนี้ เนื่องจากหมูอาจกินอาหารที่มีการปนเปื้อนของสารตัวนี้
เมื่อร่างกายได้รับสาร Ochratoxin A เข้าสู่ร่างกายจะทำให้เกิดการตายของเนื้อเยื่อ เนื่องจากขาดเลือดมาหล่อเลี้ยง
นอกจากนั้น อาการติดเชื้อของไต (nephropathy) ที่เกิดจาก Ochra- toxin A จะนำไปสู่การเกิดการก่อลูกวิรูป เกิดเนื้องอกในต่อมไต และเกิดเนื้องอกที่ตับในหนูทดลอง แต่ไม่ก่อให้เกิดการกลายพันธุ์
ประเทศแคนาดาและประเทศสมาชิกในสหภาพยุโรปหลายประเทศ ได้สำรวจและเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์อาหารที่มีจำหน่ายภายในประเทศ ที่อาจปนเปื้อน Ochratoxin A นำมาวิเคราะห์
สำหรับปัจจุบันมีมาตรฐานการปนเปื้อนของสาร Ochratoxin A ในอาหารดังนี้
ตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 197 พ.ศ.2543 กำหนดให้กาแฟสำเร็จรูปชนิดเหลว ไม่มีสารพิษจากจุลินทรีย์หรือสารเป็นพิษอื่นในปริมาณที่อาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
มาตรฐาน codex ปริมาณสูงสุดที่อนุญาตให้ปนเปื้อนในเมล็ดข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวไรย์ดิบ และผลิตภัณฑ์ที่ได้จากเมล็ดข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวไรย์ เท่ากับ 5 ไมโครกรัม/กิโลกรัม (report April 2002)
วันนี้สถาบันอาหารสุ่มตัวอย่างกาแฟสำเร็จรูปในท้องตลาด 5 ตัวอย่าง มีถึง 2 ตัวอย่างที่เกินมาตรฐานสูงมาก
เห็นกันอย่างนี้แล้ว คอกาแฟทั้งหลายคงต้องระมัดระวังกันเพิ่มขึ้น “มัน” ไม่ได้มีเฉพาะคาเฟอีนเท่านั้น......

บำรุงผิวหน้าตามลักษณะผิว

บำรุงผิวหน้าตามลักษณะผิว

window.google_render_ad();
เลือกสภาพผิวในแบบที่คุณต้องการแล้วเริ่มลงมือกันเลย
• ผิวหน้าหยาบกร้าน ใช้มะละกอสุกบด 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำผึ้งและนมสดอย่างละ ½ ช้อนชา พอกทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออก
• ผิวแห้ง ใช้แตงกวาบด 1 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำผึ้ง ½ ช้อนชา และน้ำมะนาว 1 ช้อนชา พอกทิ้งไว้ 15-20 นาทีแล้วล้างออก
• ผิวเป็นสิว ใช้ขมิ้นผง 1 ช้อนชาผสมกับน้ำผึ้ง ½ ช้อนชาและโยเกิร์ต 1 ช้อนชา พอกทิ้งไว้ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น
• ผิวหน้ามีฝ้าและจุดด่างดำ ใช้หัวไชเท้าบด 1 ช้อนชา น้ำผึ้ง ½ ช้อนชา พอกทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออก
• ผิวรูขุมขนกว้าง ใช้มะเขือเทศบด 1 ช้อนโต๊ะ ผสมโยเกิร์ตและน้ำผึ้งอย่างละ 1 ช้อนชา พอกทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออก
ที่มา นิตยสาร Hair

วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

โรงเรียนตอนอยู่มอปลาย

โรงเรียนพิบูลวิทยาลัย
โรงเรียนตอนอยู่ชั้นมัธยมตอนปลาย





โรงเรียนกำเนิดครั้งแรกที่วัดเสาธงทอง ต.ท่าหิน อ.เมืองลพบุรี จ.ลพบุรี มีท่านพระครูีลวลพบุรีคณาจารย์ (เนียม ภุมมสโร) เจ้าอาวาสวัดเสาธงทอง ต่อมาเลื่อน สมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ ที่ พระสังฆภารวาหมุนี ดำรงตำแหน่งผู้กำกับคณะสงฆ์ จังหวัดลพบุรี เป็นองค์ริเริ่มก่อตั้งมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2442 ใช้ตึดคชสาร หรือ โคโรซาน เป็นที่เรียน มีนักเรียนครั้งแรก 18 คน จ้างครูมาสอนโดยทุนของท่านเจ้าคุณ ต่อมามีนักเรียนมากขึ้นได้สร้างสถานที่ เรียนด้ารทิศเหนือตึกปิจู ในวัดเสาธงทอง เป็นที่เรียน มีนักเรียนประมาณ 150 คน (ตึกทั้งสองใช้เป็นที่พักและที่ทำงานของครู ปัจจุบัน กรมศิลปากร ได้บูรณะและขึ้นทะเบียนไว้แล้ว) โรงเรียนที่ตั้งขึ้นนี้ชื่อว่า "โรงเรียนประจำเมืองลพบุรี วัดเสาธงทอง"
เมื่อนักเรียนมากขึ้น ได้ย้ายมาสร้างที่เรียนใหม่ บริเวณบ้านหลวงรับราชทูต (บ้านวิชาเยนทร์) สร้างโดยทุนของเท่านเจ้าคุณพระสังฆภารวามุนี ร่วมกับเงินบริจาคของประชาชน และส่วนราชการธรรมการจังหวัดลพบุรี ย้ายนักเรียนมาเรียนที่ใหม่ เมื่อปี 2458 และใช้ชื่อว่า โรงเรียนประจำจังหวัดลพบุรี "วิชาเยนทร์" ชั้นมัธยมปีที่ 1 ถึง ชั้นมัธยมปีที่ 3 ได้ปรับปรุงกิจการลูกเสือขึ้น ลูกเสือราบ ลูกเสือม้า ลูกเสือพลาบาล พร้อมที่จะปฏิบัติงานช่วยเหลือทางราชการได้ทุกเวลา โดยทางกรมทหารปืนใหญ่ที่ 3 ส่งครูมาช่วยฝึก ในช่วงนี้มีนักเรียนหญิงมาร่วมเรียนด้วย แต่ไม่ถึง 10 คน เมื่อทางจังหวัดเปิดสตรีขึ้น ชื่อว่า โรงเรียนสตรีลพบุรี "ลวะศรี" นักเรียนหญิงก็ย้ายไปเรียนที่โรงเรียนแห่งใหม่
ปี พ.ศ. 2471 ทางราชการยุบกรมทหารปืนใหญ่ที่ 3 (ซึ่งตั้งอยู่ที่บริเวณโรงเรียนปัจจุบัน) อาคารต่าง ๆ โอนให้กระทรวงธรรมการ โรงเรียนวิชาเยนทร์ จึงย้ายมาอยู่ที่ใหม่ชั่วคราว และทางราชการได้ให้หาสถานที่ ใหม่สร้างอาคารเรียนคือบริเวณด้านเหนือวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ (วัดราชา) สร้างอาคารไม้ 2 ชั้น อาคารเรียนอีก 1 หลัง (อาคารทั้ง 2 ยังอยู่ในปัจจุบัน) ในปี 2473 ได้ย้ายนักเรียนไปเรียนที่ใหม่ พระองค์เจ้าธานีนิวัติ เสนาบดีกระทรวงธรรมการได้เสด็จมาเปิดอาคารเรียน และขนานนามโรงเรียนใหม่ว่า "โรงเรียนประจำจังหวัดลพบุรี พระนารายณ์" ตั้งแต่ีปี 2471 ถึง 2480 การศึกษาได้เจริญขึ้นตามลำดับ เปิดการสอนถึงชั้นมัธยมปีที่ 6 มีนักเรียนประมาณ 300 คน ครุ 12 คน อาคารดังกล่าว ปัจุบัน เป็นที่ทำการ หน่วยศิลปากรที่ 1 ลพบุรี และบริเวณโรงเรียนก็คือ สวนราชานุสรณ์
เมื่อ พล.ต. หลวงพิบูลสงคราม(ฯพณฯ จอมพล ป. พิบูลสงคราม) เป็นนายกรัฐมนตรี ได้บูรณะเมืองลพบุรี ให้เป็นเมืองทหารปรับปรุงผังเมืองใหม่ ตั้งแต่ทางรถไฟไปจนถึงเมืองใหม่ ขณะเดียวกันก็คำนึงถึงการศึกษาไปด้วย เห็นว่าโรงเรียนเดิมที่คับแคบมาก จึงหาที่เรียนใหม่ เห็นว่าบริเวณกรมทหารปืนใหญ่ที่ 3 เดิม มีที่มากจึงสร้างอาคารเรียนใหม่คือตึก 1 ด้วยงบประมาณของการทรวงกลาโหม ปี 2481 ได้ย้ายนักเรียนมาสอนที่โรงเรียนใหม่ และเปลี่ยนชื่อโรงเรียนเป็น "โรงเรียนประจำจังหวัดลพบุรี พิบูลวิทยาลัย" อันเป็นมงคลนามของนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้สถาปนาโรงเรียนใหม่
ปี 2481 สร้างตึก 2 และโรงอาหาร เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 โรงเรียนปิดชั่วคราวเนื่องจากทหารญี่ปุ่นเข้ามาพักในโรงเรียน และใช้ตึก 2 เป็นที่พักนักเรียนต้องอพยพย้ายไปเรียนตามโรงเรียนวัดต่าง ๆ เมื่อสงครามสงบก็กลับมาเรียนที่เดิม

กระทรวงศึกษาธิการ ได้เปิดแผนฝึกหัดครูขึ้น ชื่อว่า โรงเรียนฝึกหัดครูพิบูลวิทยาลัย เปิดสอนเมื่อ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2488 รับนักเรียนที่จบชั้น ม.6 มาเรียน 3 ปี ได้วุฒิ ป.ป. แผนกฝึกหัดครู เปิดสอนอยู่ถึงปี 2489 ก็ยุบนำนักเรียนไปเรียนฝึกหัดครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ธนบุรี ปี 2497 สร้างตึก 3 หอประชุม เปิดการเรียนการสอน ถึงชั้นเตรียมอุดมศึกษา(มัธยมปีที่ 7) จัดเป็นสหศึกษา มีนักเรียนหญิงมาเรียนในชั้นมัธยมศึกษาเป็นรุ่นแรก สร้างบ้านพักครู ตึกแถว 10 ห้อง ปี 2498 เปิดรับนักเรียนหญิงที่จบชั้น ป.4 มาเรียนชั้น ม.1 เป็นรุ่นแรกปี 2502 จัดเป็นโรงเรียนประเคราะห์ ภาคการศึกษา6ปี 2510 ก่อสร้างอาคารเรียนอุตสาหกรรม จัดเป็นโรงเรียนมัธยมแบบประสม (ค.ม.ส.) รุ่นแรกของกรมสามัญศึกษา สร้างอาคารเรียนตึก 4 บ้านพักครู 10 หลัง บ้านพักภารโรง 6 หลัง
ปี 2512 สร้างอาคารเรียนคหกรรมบ้านพักครู 10 หลัง ปี 2519 โรงเรียนได้รับคัดเลือกเป็นโรงเรียนพระราชทานดีเด่นขนาดใหญ่ของกรมสามัญศึกษาปี 2520 สร้างอาคารเรียนตึก 5 เปิดสอนตามหลักสูตร มศ.1 และปี 2521 เปิดสอนตามหลักสูตร ม.1ปี 2526 สร้างอาคารเรียนอเนกประสงค์ (อาคารพลานามัย) ปี 2537 สร้างหอประชุมใหม่ (หอประชุมพิบูลสงคราม)ปี 2541 สร้างอาคารเรียนตึก 6 อาคาร 4 ชั้นใต้ถุนโล่ง 24 ห้องเรียน





ในปี 2522 พิบูลวิทยาลัย มีนักเรียนมากประมาณ 5,400 คน ครูประมาณ 320 คน โรงเรียนจึงได้ไปสร้างโรงเรียนแห่งใหม่ โดยแยก ม.1 ไปในปี 2523 โดย ใช้ชื่อว่า โรงเรียนพิบูลวิทยาลัย 2 ต่อมากรมสามัญศึกษาได้เปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนพระนารายณ์ ตามชื่อเดิมของโรงเรียนประจำจังหวัดลพบุรี พระนารายณ์ โรงเรียนตั้งอยู่ที่ ต.ท่าศาลา อ.เมืองลพบุรี จ.ลพบุรี เปิดสอนระดับชั้น ม.1 ม.2 และ ม.3
ปัจจุบัน โรงเรียนพิบูลวิทยาลัย เปิดสอนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายคือชั้น ม.4 ม.5 และ ม.6 เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายแห่งแรกและแห่งเดียวของกรมสามัญศึกษาในภูมิภาค มีห้องรวม 78 ห้อง นักเรียนประมาณ 3,000 คน ครูอาจารย์ 163 คน มีอาคารเรียนรวม 6 หลัง อาคารชั่วคราว อาคารประกอบอีกมากมาย ประวัติและผลงาน ของโรงเรียนดีเด่นตลอดมาทั้งการเรียนในสายสามัญ วิชาชีพ ศิลปะ ดนตรี กีฬา และกิจกรรมต่าง ๆ ศิษย์เก่าของโรงเรียน ตั้งแต่รุ่นวัดเสาธงทองวิชาเยนทร์ - พระนารายณ์ จนมาถึงพิบูลวิทยาลัย ได้สร้างชื่อเสียงให้แก่ทางโรงเรียน ได้ประกอบอาชีพทางการงาน ทั้งส่วนราชการ ส่วนตัว สร้างประโยชน์แก่สังคมส่วนรวมเป็นจำนวนมาก นับแต่อดีต มาจนถึงปัจุบันนี้







เมาแล้วขับถูกจับแน่


เมาแล้วขับถูกจับแน่

ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ร่วมกับ บริษัทดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) จำกัด และกองบังคับการตำรวจทางหลวง ขานรับการแก้ปัญหา ที่ต้นเหตุ “เมาแล้วขับ โดนจับแน่” รับมือสงกรานต์ปีนี้ ประเดิมเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ในลมหายใจ ฝีมือคนไทย โดยวันนี้ (1 เม.ย.2552 ) พ.ต.อ.สมยศ พรหมนิ่ม รรท.ผบก.ทล. , พ.ต.อ.พินิต มณีรัตน์ รอง ผบก.ทล. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจให้การต้อนรับ นายวรเทพ รางชัยกุล ประธานบริษัท ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) จำกัด และ ดร.พันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้อำนวยการ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ แห่งชาติ (เนคเทค) ได้มามอบเครื่อง จำนวน 190 เครื่อง เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของตำรวจทางหลวงในการรณรงค์ป้องกันอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยเฉพาะช่วง 7 วันอันตรายในเทศกาลสงกรานต์ที่จะถึงนี้ ที่ห้องประชุม กองบังคับการตำรวจทางหลวง โดยมี ดร.กว้าน สีตะธนี ร.ผศอ. ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผอ.ฝ่าย หน่วยปฏิบัติการวิจัยนาโนอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องกลจุลภาค ดร.กัลยา อุดมวิทิต ผอ.ฝ่ายพัฒนาธุรกิจและถ่ายทอดเทคโนโลยี ร่วมเป็นเกียรติในการลงนามความร่วมมือ และการมอบเครื่องตรวจวัดดังกล่าว






พ.ต.อ. พินิต มณีรัตน์ รองผู้บังคับการตำรวจทางหลวง กล่าวว่า อุบัติเหตุบนท้องถนนส่วนใหญ่ มาจากผู้ขับขี่ที่ประมาท ขาดสติ ซึ่งไม่ใช่เกิดจากการดื่มสุราเพียงอย่างเดียว ง่วงก็ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ แต่เนื่องจากสงกรานต์เป็นเทศกาลเฉลิมฉลอง ซึ่งนิสัยคนไทยเป็นคนชอบสนุก ชอบดื่ม สังสรรค์ เฮฮา การแก้ปัญหาจึงต้องมองที่ต้นเหตุคือ เมื่อดื่มสุราแล้วต้องไม่ขับรถ ต้องดื่มอย่างรับผิดชอบ ไม่ทำให้ตัวเองและ คนรอบข้างเดือดร้อน สำหรับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะกวดขันการขับขี่ในถนนสายรองมากขึ้น เพราะเป็นจุดที่ อุบัติเหตุส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นในช่วงเทศกาลจะเกิดขึ้นที่นี่ และมักจะเกิดกับผู้ขี่รถจักรยานยนต์ สำหรับสงกรานต์ปีนี้ เราจะเพิ่มจุดตรวจวัดแอลกอฮอล์ในพื้นที่เสี่ยงมากขึ้น ซึ่งต้องขอขอบคุณ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และ คอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ที่ได้คิดค้นและพัฒนา เครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ในลมหายใจ ซึ่งเป็นงานวิจัย ระดับมาตรฐานโลกฝีมือคนไทย พร้อมกันนี้ เนคเทคยังได้จับมือกับภาคเอกชนอย่างบริษัทดิอาจิโอฯ ที่เห็น ความสำคัญของการบังคับใช้กฎหมายในการสนับสนุนการทำงานของตำรวจ โดยมอบเครื่องตรวจวัด แอลกอฮอล์ในลมหายใจ 190 เครื่อง ซึ่งจะกระจายใช้ตามจุดตรวจ ถนนสายทางหลวงทั่วประเทศ
“การดื่มและขับนั้น หากมีระดับแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์แล้ว นอกจากจะถูกจับ ปรับแน่ ผู้ดื่มยังมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุมากกว่าคนปกติสูงถึง 6 เท่า เพราะความสามารถในการควบคุมรถ จะลดลง มองเห็นได้ไม่ชัด กะระยะไม่ถูก ผมอยากจะเห็นการให้ความรู้กับผู้ดื่มและขับมากขึ้น และการร่วมมือกัน ของทุกภาคส่วนในลักษณะแบบนี้ ซึ่งเชื่อแน่ว่าจะสามารถแก้ปัญหาการเกิดอุบัติเหตุที่ต้นเหตุในช่วงเทศกาล สงกรานต์ได้อย่างแน่นอน” พ.ต.อ. พินิต กล่าว
นายวรเทพ รางชัยกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ดิอาจิโอฯ ยึดมั่นการดำเนินธุรกิจภายใต้กฎหมายมาโดยตลอด ดังนั้น การแก้ปัญหาอุบัติเหตุ ในช่วงสงกรานต์ก็เช่นเดียวกัน จะต้องมีการบังคับใช้กฎหมายให้เข้มงวดมากขึ้น จึงจะเป็นการแก้ปัญหา ที่ต้นเหตุจริงๆ เพราะการห้ามขายเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้น และเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของ เจ้าหน้าที่ตำรวจในช่วงเทศกาลสงกรานต์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ดิอาจิโอฯ จึงได้มอบเครื่องตรวจวัด แอลกอฮอล์ในลมหายใจให้กับกองบังคับการตำรวจทางหลวง ตอกย้ำการรณรงค์ดื่มอย่างรับผิดชอบ ภายใต้โครงการ “ดื่มไม่ขับ กลับบ้านปลอดภัย” ซึ่งดิอาจิโอฯ ได้ทำมาอย่างต่อเนื่องไม่ใช่เฉพาะช่วงเทศกาลเท่านั้น”
ดร.พันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้อำนวยการ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ แห่งชาติ (เนคเทค) กล่าวว่า เราตระหนักดีว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องทำงานอย่างหนัก เกี่ยวกับการรณรงค์ และการปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็งเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นจากการดื่มสุราแล้วขับขี่ โดยเฉพาะ ในช่วงเทศกาลสำคัญๆ เช่น เทศกาลสงกรานต์ที่กำลังจะมาถึงนี้ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดย เนคเทค/สวทช. ซึ่งได้มีการวิจัยพัฒนาและผลิตเครื่องเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ในลมหายใจอยู่แล้ว จึงได้นำอุปกรณ์ดังกล่าวมอบให้กับกองบังคับการตำรวจทางหลวง เพื่อร่วมรณรงค์ลดอุบัติเหตุในช่วง เทศกาลสงกรานต์ ซึ่งจะช่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจในการปฏิบัติหน้าที่ ตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในลมหายใจ ของผู้ขับขี่ยานพาหนะ ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว พกพาสะดวก ง่ายต่อการใช้งานเพราะใช้เวลาเพียง 2-5 วินาทีก็ทราบผล ถ้าหากแอลกอฮอล์ในร่างกาย เกินอัตราที่กฎหมายกำหนดคือ เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จะสามารถรู้ผลได้ทันทีจากเสียงเตือนของเครื่อง และสัญญาณไฟสีแดงแสดงบนหน้าจอของเครื่องวัด
“เครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ในลมหายใจที่เนคเทควิจัยพัฒนาขึ้น เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงสามารถตรวจสอบผู้มีปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายในเบื้องต้นได้เป็นอย่างดี จะเป็นการสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการตรวจจับผู้ขับขี่ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดสูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด นอกจากจะเป็นการช่วยลดอุบัติเหตุ และรักษาชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนแล้ว ที่สำคัญอย่างยิ่ง ผลงานนี้เป็นการประดิษฐ์คิดค้นของคนไทยเราเอง ทำให้ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย จากการนำเข้าอุปกรณ์จากต่างประเทศที่มีราคาแพง และลดงบประมาณของภาครัฐในการดูแลรักษาเครื่องอีกด้วย”
ข้อมูลเพิ่มเติมเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ในลมหายใจ
เครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ในลมหายใจแบบ Screening (SAM-05) เป็นเครื่องที่หัววัดสร้างจาก เทคโนโลยีของ Semiconductor Sensor ที่ราคาไม่แพง สามารถนำไปใช้ตรวจวัดเบื้องต้นเพื่อช่วยลดระยะเวลา การตรวจจับผู้ขับขี่โดย ที่ผู้ขับขี่ไม่จำเป็นต้องลงจากยานพาหนะเครื่องมือดังกล่าวไม่จำเป็นต้อง ให้หลอดเป่า จึงลดการสิ้นเปลืองนอกจากนี้เครื่องวัดฯ ยังมีรูปแบบทันสมัย น้ำหนักเบาเหมาะกับการใช้งาน และมีความไวสูง สามารถวัดจากลมหายใจโดยตรง รู้ผลเร็วหากมีผู้ขับขี่บนท้องถนนหนาแน่น จะช่วยทำให้ลดระยะเวลาตรวจวัด โดย ไม่ต้องใช้เครื่องตรวจวัดแบบเป่าที่นำเข้าจากต่างประเทศ และมีราคาแพง
การตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์จากลมหายใจ เป็นการทำงานที่อาศัยหลักการที่ว่า เมื่อกระแสเลือดไหล ไปที่ปอด เพื่อแลกเปลี่ยนแก๊สออกซิเจน และคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ เข้า-ออกจากร่างกาย แอลกอฮอล์ ในกระแสเลือดบางส่วนจะซึมผ่านออกจากปอดด้วย ซึ่งระดับความเข้มข้นแอลกอฮอล์จากปอดจะสัมพันธ์ โดยตรงกับระดับความเข้มข้นแอลกอฮอล์ในเลือด ดังนั้นเมื่อหายใจออกมา แอลกอฮอล์จะถูกขับออกจาก ปอดด้วยเช่นกัน

กฏหมายควรรู้

กฏหมายควรรู้
นิรโทษกรรมคืออะไร

นิรโทษกรรมหมายถึง การตรากฎหมายย้อนหลังเป็นคุณเเก่ผู้กระทำความผิดทางการเมืองหรือความผิดอาญาก็ได้ เเก่บุคคล หรือ กลุ่มบุคคล โดยบุคคลดังกล่าวจะไม่ตกอยู่ภายใต้การดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยมีความมุ่งหมายเพื่อให้ลืมความบาดหมางกับเหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นเเล้ว


เงื่อนไขด้าน “องค์กร” ผู้มีอำนาจตรากฎหมายนิรโทษกรรม
จากการศึกษากฎหมายนิรโทษกรรมของไทยที่ผ่านมาในอดีต ซึ่งปรากฎอยู่หลายฉบับ พบว่า หากไม่นับพระราชกำหนดนิรโทษกรรมในคราวเปลี่ยนเเปลงการปกครองเเผ่นดิน พุทธศักราช 2475 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานนั้น โดยปกติ กฎหมายนิรโทษกรรมจะตราอยู่ในรูปของ “พระราชบัญญัติ” หรือ “พระราชกำหนด” เท่านั้น ซึ่งหมายความว่า ฝ่ายนิติบัญญัติหรือฝ่ายบริหารเท่านั้นที่มีอำนาจตรากฎหมายนิรโทษกรรม
เเต่ร่างรัฐธรรมนูญ 2550 (ซึ่งผู้ร่าง ประสงค์จะให้เป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับถาวร เเละเป็นผลผลิตของส.ส.ร. ที่มาจากคมช.) เดินตามมาตรา 222 ของรัฐธรรมนูญปี 2534 ซึ่งออกในสมัยรสช. โดยมาตรา 309 กลับรับรองเรื่องนิรโทษกรรมไว้ ขณะที่หากเปรียบเทียบกับรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2517 ที่ร่างในบรรยากาศประชาธิปไตยมากกว่านี้ มาตรา 4[1] กลับห้ามมิให้มีการนิรโทษกรรมไว้อย่างชัดเจน
เนื่องจากมีหลักกฎหมายทั่วไปว่า “บุคคลไม่สามารถอ้างประโยชน์จากการกระทำความผิดของตนได้” หรือหลัก “ไม่มีใครเป็นผู้พิพากษาในเรื่องที่ตนเองมีส่วนได้เสีย” [2] การออกกฎหมายนิรโทษกรรม ควรให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเป็นผู้พิจารณาในเรื่องนี้จะสมควรกว่า
อีกทั้งมีเรื่องการลงประชามติของรัฐธรรมนูญด้วย ซึ่งไม่ควร “ยืมมือประชาชน” มาฟอกตัวให้กับผู้กระทำความผิดฐานล้มล้างรัฐธรรมนูญเเละองค์กรเฉพาะกิจอย่างคตส.ด้วย
เงื่อนไขด้าน “เวลา”
รากศัพท์ของคำว่า “amnesty” มาจากภาษากรีก คือ “amnestia” เเปลว่า “ทำให้ลืม” คือลืมจากเหตุการณ์หรือความผิดในอดีต (past offense)
วัตถุประสงค์ของกฎหมายนิรโทษกรรมคือ ทำให้สังคมลืมเหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นเเละสิ้นสุดลงเเล้ว ดังนั้น ในกฎหมายนิรโทษกรรมของไทยนั้น ในอดีตจะเขียนไว้ในสองลักษณะ
ลักษณะเเรก จะกำหนดวันที่จะได้รับนิรโทษกรรมไว้อย่างชัดเจน เช่น พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมเเก่นักเรียน นิสิต นักศึกษาเเละประชาชน ซึ่งกระทำความผิดเกี่ยวเนื่องกับการเดินขบวนเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2516
ลักษณะที่สอง ซึ่งมักจะใช้กับการนิรโทษกรรมเเก่ผู้กระทำรัฐประหารนั้น กฎหมายมักจะเขียนนิรโทษกรรมกับบรรดาการกระทำที่เกิดขึ้นก่อนที่กฎหมายนิรโทษกรรมจะประกาศใช้ ดังปรากฎให้เห็นจาก พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมเเก่ผู้ทำรัฐประหาร พ.ศ. 2490 มาตรา 3 ซึ่งบัญญัติว่า
“บรรดาการกระทำทั้งหลายทั้งสิ้นของบุคคลใดๆ ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เนื่องในการกระทำรัฐประหารเพื่อเลิกใช้รัฐธรรมนูญเเห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 เเละประกาศใช้รัฐธรรมนูญเเห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 หากเป็นการผิดกฎหมายใดๆ ก็ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิดเเละความรับผิดโดยสิ้นเชิง เเละการใดๆ ที่ได้กระทำ ตลอดจนบรรดาประกาศเเละคำสั่งใดๆ ที่ได้ออกสืบเนื่องในการกระทำรัฐประหารที่กล่าวเเล้ว ให้ถือว่าเป็นอันชอบด้วยกฎหมายทุกประการ”
ความทำนองเดียวกันก็ปรากฎในพระราชนิรโทษกรรมเเก่ผู้กระทำการยึดอำนาจการบริหารราชการเเผ่นดินเมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 (มาตรา 3) เเละ พระราชนิรโทษกรรมเเก่ผู้กระทำการปฎิวัติเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 (มาตรา 3) เเละ พระราชนิรโทษกรรมเเก่ผู้กระทำการปฎิวัติเมื่อวันที่ 17 พฤศจิการยน พ.ศ. 2514 (มาตรา 3)
กล่าวให้ง่ายเข้า กฎหมายจะนิรโทษกรรมได้ 3 ช่วงเวลาเท่านั้นคือ
1. ก่อนวันทำรัฐประหาร (เช่นการตระเตรียมการทั้งหลาย)
2. วันทำรัฐประหาร เเละ
3. หลังวันทำรัฐประหาร
เเต่ทั้งนี้ ต้องก่อนวันที่พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมมีผลใช้บังคับเท่านั้น ซึ่งก็ต้องไปดูว่า กฎหมายนิรโทษกรรมฉบับนั้นๆ มีผลใช้บังคับเมื่อใด โดยปกติเเล้วจะเขียนไว้สองเเบบคือ มีผลให้ใช้บังคับตั้งเเต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา หรือวันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ซึ่งหมายความว่า การกระทำหลังจากกฎหมายนิรโทษกรรม เเม้จะเกิดขึ้นเป็นผลเกี่ยวเนื่องหลังจากวันทำรัฐประหารก็ตาม เเต่หากการกระทำนั้นมีผลต่อเนื่องมายังวันที่กฎหมายนิรโทษกรรมมีผลใช้บังคับเเล้ว ความผิดต่อเนื่องที่เกิดขึ้นภายหลังจากวันที่กฎหมายนิรโทษกรรมมีผลใช้บังคับ ก็ไม่ได้รับการยกเว้นความผิดอีกต่อไป
ยกตัวอย่างเช่น พ.ร.บ. นิรโทษกรรมเเก่ผู้กระทำการปฎิวัติเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 มาตรา 3 บัญญัติว่า “บรรดาการกระทำทั้งหลายทั้งสิ้นของบุคคลใดๆ ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ซึ่งได้กระทำเนื่องในการปฎิวัติเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 ก็ดี ….เเละไม่ว่ากระทำในวันที่กล่าวนั้น หรือก่อนหรือหลังวันที่กล่าวนั้น หากการกระทำนั้นผิดกฎหมาย ก็ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิด….”
ผลในทางกฎหมายก็คือ “การกระทำในวันที่กล่าวนั้น” ซึ่งหมายถึงวันทำรัฐประหารในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 เเละ “ก่อนวันที่กล่าวนั้น” ซึ่งหมายถึงวันก่อนวันทำรัฐประหาร หรือก่อนวันที่ 20 ตุลาคม เเละ “หลังวันที่กล่าวนั้น” คือหลังวันทำรัฐประหารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 ย่อมได้รับการนิรโทษกรรม
เเต่เมื่อมาตรา 3 บัญญัติว่า “ให้ใช้กับบรรดาการกระทำก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ” ก็ต้องไปดูว่า กฎหมายนี้ใช้บังคับเมื่อใด
มาตรา 2 ของพ.ร.บ.นี้ระบุว่า “พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งเเต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป” พ.ร.บ. นิรโทษกรรมเเก่ผู้กระทำการปฎิวัติเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 ประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2502 ดังนั้น บรรดาการกระทำที่กระทำขึ้นก่อนวันทำรัฐประหารในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 ก็ดี วันทำรัฐประหารในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 ก็ดี เเละรวมถึงวันหลังวันทำรัฐประหารก็ดี เรื่อยมาจนถึงวันที่ 2 เมษายน 2502 ก็ดี ล้วนได้รับการนิรโทษกรรมทั้งสิ้น
เเต่บรรดาการกระทำนับตั้งเเต่วันที่ 3 เมษายน 2502 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นวันที่กฎหมายนิรโทษกรรมเริ่มประกาศใช้ เเม้จะเป็นผลมาจากการปฎิบัติตาม “คำสั่ง” หรือ “ประกาศ” ของคณะรัฐประหารก็ตาม ย่อมไม่ได้รับอานิสงค์ของกฎหมายนิรโทษกรรมด้วย ซึ่งย่อมหมายความว่า การกระทำนั้น ๆ เป็นความผิดเเละต้องได้รับโทษ

วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2552

ยิ้มสวยด้วยความมั้นใจ





ยิ้มสวยด้วยความมั้นใจ


น.อ. หญิง พัฒนทวิ ศรีสมวงศ์ ร.น.
คุณคงสงสัยละซีว่า ชื่อเรื่องนี้จริงหรือไม่จริงอย่างไร สมมติว่ารูปหน้าคุณสุดสวย ปาก แก้ม คิ้ว คาง น่าดูไปหมดหนุ่มน้อยหนุ่มมากเห็นแล้วหัวใจจะหยุดเต้น แต่เวลายิ้มเธอต้องเอามือปิดปากทุกครั้งไป เผลอเมื่อไหร่หนุ่มเหล่านั้น เป็นหัวใจวายไปจริง ๆ เพราะตกใจในฟันหยินออกมานอกปาก ถ้าเป็นชายก็ไม่ต้องไปสักลายเสือให้คนกลัว เพราะ "ฟันไม่เข้า" อยู่แล้ว (เนื่องจากฟันยื่นออกมามาก)
ดังนั้นจะปล่อยให้ฟันมาทำลายความสวย ความหล่อและบุคลิกของคุณอยู่ทำไม การแพทย์เราเจริญไปไกลแล้ว เพียงแต่รวบรวมความกล้า ไม่กลัวหมอฟันซะอย่างเดียว
แล้วควรจะไปหาหมอฟันเมื่อไหร่ล่ะ
สมัยนี้ทั้งคุณพ่อคุณแม่ได้รับคำแนะนำตั้งแต่ไปฝากครรภ์แล้ว พอลูกรักคลอดออกมา พ่อแม่ควรทะนุถนอมดูแลในปากตั้งแต่แรกเกิด ฟันน้ำนมจะเริ่มขึ้นอายุประมาณ 6 เดือนขึ้นไป คุณก็เริ่มพาลูกไปทำความคุ้นเคยกับหมอฟัน พออายุ 6 ปี ฟันแท้ซี่แรกจะเริ่มโผล่ขึ้นมาบ้างแล้ว ซี่อื่นก็จะทยอยตามขึ้นมา ซึ่งคุณควรปฏิบัติตามคำแนะนำ และไปตรวจฟันทุก ๆ 6 เดือน เพื่อให้สุขภาพช่องปากดี แต่ถ้าเริ่มมีฟันที่ขึ้นแตกแถวไป หมอฟันก็จะช่วยได้ตั้งแต่แรก เป็นการป้องกันไม่ให้ฟันขึ้นผิดที่ผิดทาง และช่วยให้โครงสร้างใบหน้าปกติไม่เป็นปัญหายุ่งยากเมื่อโตขึ้น
แต่บางครั้งลูกน้อยเจ้าของฟันจะไม่สนใจ ฟันซ้อน ฟันเก ฟันเหยิน ฟันห่างของตนเองจนกว่าเริ่มเป็นหนุ่มเป็นสาวนั่นแหละ ก็ตั้งแต่อายุ 13 ปีขึ้นไป ซึ่งระยะนี้จะเป็นการแก้ไขบำบัดรักษาความผิดปกติของฟันบนฟันล่าง รวมถึงโครงสร้างใบหน้าให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกได้สัดส่วนของแต่ละคนเครื่องมือจัดฟันก็จะมากขึ้น ระยะเวลาก็จะนานขึ้นเหมือนกับไม้อ่อนดัดง่าย ไม่แก่ดัดยาก โดยเฉลี่ยแล้ว 18-24 เดือน
ฟันคุณอยู่ในข่ายต้องจัดหรือเปล่า
นอกจากฟันที่ขึ้นผิดตำแหน่งต่าง ๆ กันแล้ว โครงสร้างของกระดูกยังมีส่วนทำให้ลักษณะใบหน้าแตกต่างกัน โดยทั่วไปแบ่งเป็น 3 แบบ
1. ใบหน้าปกติ มีโครงสร้างใบหน้า และการสบฟัน (คือฟันบนกับฟันล่างเจอกัน) ปกติคุณโชคดีแล้ว ไม่ต้องเจอเครื่องมือจัดฟัน
2. ใบหน้าโค้งนูน คางหลุบ ดูจากด้านข้างใบหน้าจะเห็นได้ชัด ริมฝีปากบนอูม ฟันบนจะยื่นออก ขากรรไกรล่างจะล้ำเข้าใน
3. ใบหน้าเว้า คางยื่น ดูใบหน้าด้านข้าง ขากรรไกรล่างจะยื่นออกไปข้างหน้ามากกว่าปกติ
จะจัดฟันดีไหม
เรื่องสวยเรื่องหล่อขึ้นน่ะดีกว่าเดิมแน่นอน ยิ่มได้เต็มที่ เวลาคุยกับใครก็ไม่ต้องเอามือปิดปากอีกแล้ว อีกทั้งฟันที่เรียบเป็นระเบียบ ย่อมแปรงทำความสะอาดได้ง่ายกว่าฟันซ้อน ฟันเก กลิ่นปากก็สะอาด พูดจาประสาดอกไม้ได้สบาย นอกจากนั้นยังช่วยให้เคี้ยวอาหารได้ดี ป้องกันและแก้ไขความผิดปกติของหัวข้อต่อขากรรไกรที่อาจมีปัญหาภายหลังได้อีกด้วย
ทางที่ดีไปคุยรายละเอียดกับหมอจัดฟัน ซักถามทุกซอกฟัน ให้เข้าใจก่อนจึงตัดสินใจด้วยตนเอง เพราะความร่วมมือปฏิบัติตามคำแนะนำของหมอขณะจัดฟันมีความสำคัญอย่างยิ่ง ถ้าเป็นเด็กเล็กการเอาใจใส่ดูแลของผู้ปกครองจะมีส่วนในความสำเร็จนี้ด้วย
ขั้นตอนการจัดฟัน
หมอจะถามประวัติสุขภาพทั่วไป ตรวจในปากอย่างละเอียด พิมพ์ฟันทำแบบจำลองจากในปาก ถ่ายรูปเอ็กซ์เรย์ ฯ เพื่อเป็นข้อมูลในการวางแผนการรักษาและจะบอกคุณเมื่อนัดครั้งต่อไป ซึ่งคุณมีสิทธิ์ตัดสินใจอีกครั้งว่า จะจัดฟันหรือไม่ ถ้ามีฟันผุ เหงือกอักเสบ หรือที่จำเป็นต้องทำอย่างอื่นก็จะต้องไปจัดการให้สุขภาพเหงือกและฟันดีซะก่อนที่จะเริ่มจัดฟันได้
คำถามทั่ว ๆ ไป ที่คุณคงอยากทราบ
- จัดฟันแล้วต้องมาพบหมอบ่อยไหม?
ประมาณ 3-4 อาทิตย์ต่อครั้ง
- เจ็บรึเปล่า?
มีบ้างเล็กน้อย ระยะแรกจะรู้สึกแปลก รำคาญเล็กน้อย ต้องอดทน แล้วแต่การปรับตัวเร็วช้าของแต่ละคนด้วยต่อไปก็จะชินไปเอง
- กินอาหารได้ทุกอย่างไหม?
ได้เกือบทุกอย่าง ยกเว้น อาหารแข็ง เหนียว เช่น หมากฝรั่ง แทะข้าวโพด ลูกกวาด ฯ
- แปรงฟันอย่างไร?
แน่นอน ต้องแปรงฟันหลังอาหารทุกมือ เพราะเศษอาหารจะติดฟัน และเครื่องมือได้ง่าย ถ้าไม่แปรงให้สะอาดฟันจะผุ เหงือกอักเสบ และมีกลิ่นปาก
อย่างไรก็ตาม คุณจะมีโอกาสจัดฟันหรือไม่จัดก็ตาม สิ่งที่ทุกท่านต้องปฏิบัติคือ เด็กตรวจฟันทุก 6 เดือน ผู้ใหญ่ปีละครั้งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ธรรมชาติให้ความสมดุลของฟัน ใบหน้า และส่วนประกอบอื่นแก่แต่ละคนมาแล้ว มีทั้งดีมากและดีน้อย จึงควรภูมิใจในสิ่งที่ท่านมีอยู่ ทุกท่านมีความสวย หรือหล่อในตนเองอยู่แล้ว ขอให้มีสุขภาพกาย สุขภาพช่องปาก และสุขภาพจิตที่ดี คุณก็จะ "ยิ่มสยาม" ได้อย่างมั่นใจ เป็นที่ประทับใจแก่ผู้พบเห็น

อาหารจานโปรดของผมครับ หลนปูเค็ม






อาหารจานโปรดครับผม หลนปูเค็ม
วิธีทำ
ส่วนผสมปูเค็ม 5 ตัวหัวกะทิ 1 ถ้วยตวงหางกะทิ 3 ถ้วยตวงหมูสับ 200 กรัมหัวหอมแดง 5-6 หัวใบมะกรูดฉีก 3 ใบพริกชี้ฟ้า 2-3 เม็ดใหญ่น้ำตาลปีบน้ำมะขามเปียกหรือน้ำมะนาว แนะนำให้ใช้น้ำมะนาวค่ะเพราะสีของหลนจะน่ากินกว่า หรือถ้าหามะดันได้ใช้มะดันค่ะ แต่วันนี้จุ๋มใช้ยอดมะขามอ่อนเกลือป่น
ปูเค็มซื้อมาจากตลาด ขีดละ 15 บาท 5 ตัวหนักราว 3 ขีดกว่า ๆ 48 บาทค่ะ
จานนี้หัวหอมแดง ใบมะกรูด พริกชี้ฟ้า พอดีจุ๋มมีในตู้เย็นสีแดงค่ะ แนะนำให้ใช้สีเหลืองและสีเขียวด้วย เพราะสีจะได้ตัดกันกับปูค่ะ ของจุ๋มออกแดงอย่างเดียวเลยในรูปมีมะขามเปียกด้วย จุ๋มหยิบมาเผื่อเท่านั้น จริง ๆ ไม่ได้ใช้ค่ะ
ใครไม่รู้จักใบมะขามอ่อน หน้าตาแบบนี้นะคะ นิยมใช้นำมาใส่แกงส้ม ต้มแซ่บ ตลาดบางกะปิขีดละ 8-10 บาทค่ะ จุ๋มซื้อมา 1 ขีด แต่จริง ๆ ใช้ไม่หมดหรอก ใช้ไปประมาณ 1/2 ขีด
ปูเค็มซื้อมาเอาใส่ตะแกรง เอาน้ำราดผ่าน ๆ 1 ทีนะคะ เค้าใส่ถาด ๆ ไว้บางทีแมลงวันตอมก็มี แล้วก็ปล่อยให้มันสะเด็ดน้ำหน่อย แกะกระดองแยกออกจากตัว แกะเอานมทิ้งไป แกะขี้มันออก หักปลายขาท่อนสุดท้ายออกด้วยค่ะ
หักปลายขาทิ้งไปแบบนี้นะคะ ซื้อกินตามร้านบางร้านเขาก็ไม่หักหรอก ทำกินเองหักเถอะคะ
กระดองจุ๋มแยกเอาไว้ซีกนึง
ตัวปูจุ๋มหักตามแนวตั้งเป็น 2 ส่วนนะคะ บางคนอาจจะไม่หักก็ได้ แต่มันกินลำบาก
หัวหอมแดง ปอก ล้าง แล้วหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ครับ
พริกชี้ฟ้าล้าง หั่นเป็นท่อนขนาด 1/2 นิ้ว
ใบมะกรูดล้าง ฉีก ๆ เส้นกลางใบเอาทิ้งไปครับ
จุ๋มมีหมูสับอยู่ 2 ขีด ก็ว่ามันเยอะอยู่เหมือนกันสำหรับปูแค่นี้ เลยเอาหมูสับยัดใส่กระดองมันค่ะ แต่จริง ๆ ไม่ต้องยัดดีกว่า น้ำหลนจะได้ข้นกว่านี้หน่อย อิอิ หรือไม่ก็เพิ่มหมูสับไปอีก 50 กรัมนะครับ ถ้าจะยัดหมูสับใส่กระดองปู
หางกะทิใส่หม้อครับ จุ๋มใช้กะทิถุง 1 ถ้วย ใส่น้ำเปล่า 2 ถ้วยนะครับ
เอาไปตั้งไฟกลาง ๆ ให้เดือดครับ
กะทิเดือดแล้ว แบ่งมาใส่ในชามหมูสับหน่อยนึงค่ะ ให้พอท่วมหมูสับ
แล้วก็ใช้ช้อนหรือทัพพียี ๆ ให้หมูสับกระจาย อย่าให้เป็นก้อนครับ
แล้วก็เอาหมูสับเทใส่หม้อกะทิที่เราตั้งไฟไว้
เอากระดองปูที่ยัดไส้หมูสับไว้ใส่ตามลงไปครับ
จากนั้นลดไฟลงอ่อนเคี่ยวต่อไป ให้น้ำกะทิเหลือสัก 1/2 นึงของเมื่อกี้ครับ
เคี่ยวจนน้ำงวดแบบนี้ครับ
คราวนี้ใส่หัวกะทิอีกถ้วยลงไปครับ
ตั้งไฟต่อนั่นล่ะ เพิ่มเป็นไฟกลางนะครับ
พอน้ำกะทิเดือดใส่ปูเค็มที่ฉีกไว้ลงไป
ไม่ต้องไปคนมันครับ ปล่อยให้มันเดือดจนปูสุกเป็นสีส้ม
แล้วก็ปรุงรสด้วยน้ำตาลปีบ เกลือป่น ถ้าใช้มะดันใส่ตอนนี้เลยครับ ถ้าใช้มะนาวบีบตอนหลังครับ ชิมก่อนค่อยปรุงรสนะครับเพราะปูบางจ้าวเค็มมาก เดี๋ยวเค็มปี๋จุ๋มไม่รับผิดชอบนะครับ
ก็ชิม ๆ ดูตามชอบครับ อาหารพวกหลนจะออกรส เค็ม หวาน เปรี้ยว พอเดือดอีกทีก็ใส่หัวหอมซอยลงไปครับ
ตามด้วยพริกชี้ฟ้า
ใบมะกรูดฉีก ถ้าชอบผักสุกมากก็ทิ้งเวลาไว้นานหน่อยนะครับ
ของจุ๋มใส่ใบมะขามอ่อนเลยใส่ตอนนี้ครับ
คน ๆ ให้เข้ากัน ปิดเตาได้แล้วครับ
ตักใส่ชามโลดครับ จุ๋มกินคนเดียวเลยชามนี้
ผัก ผัก ผัก ในตู้เย็นมีอยู่แค่นี้
ก้ามใหญ่ ๆ เอาไปเลยครับ
กินอร่อยเชียร์บอลสนุกและรักในหลวงทุกท่านครับ

วิธีการสร้างบทความใหม่และการแทรกรูปในบทความ

วิธีการสร้างบทความใหม่และการแทรกรูปในบทความ

เป็นวิธีง่ายๆที่เพื่อนๆที่สนใจสามารถทำได้ไปดูขั้นตอนกันเลยครับ
1.เข้าไปในหน้าแล้กของ Blog คลิกไปที่คำว่าบทความทางด้านขวามือ




2.ตั้งชื่อบทความของเราว่าเป็นเรื่องอะไร




3.พิมพ์ข้อมูลลงไปในช่องขนาดใหญ่ที่ใส่บทความ




4.พิมพ์หัวข้อเรื่องลงในป้ายประกาศ




5.ในการแทรกรูปนั้นให้ไปคลิกเพิ่มรูปภาพ





6.เมื่อคลิกเข้าไปก็จะเจอหน้าต่างรูปภาพและคลิกไปที่ Borwes





7.ก็จะเข้าไปในไฟล์ที่เก็บรูปของเราเลือกรูปตามต้องการ





8.เมื่อเลือกรูปได้แล้วก็คลิกอัปโหลดเลย





9.รอในการทำการอัปโหลด





10.คลิกไปที่แสดงตัวอยางทามด้านขวามือเพื่อตรวจสอบความถูกต้องและสวยงาม และคลิกคำว่าเผยแพ่รบทความ


11.คลิกที่ดูบล็อกหรือถ้าอยากสร้างบทความให้ก็คลิกที่สร้างบทความใหม่



11.Blog ที่เสร็จแล้ว




ไม่ยากเลยใช่ไหมครับเพื่อนก็ลองไปทำดูนะครับ












วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2552

20 วิธีลดหุ่นให้เข้าที่


20 วิธีลดหุ่นให้เข้าที่

1. ใช้จานชามสีเข้มขรึม นื่องจากภาชนะใส่อาหารที่มีสีสดใสจะช่วยกระตุ้นให้เกิดความอยากอาหารมากขึ้น ดังนั้นเพื่อสกัดกั้นความอยากเสียตั้งแต่ยังไม่เริ่มลงมือกิน จึงควรจัดอาหารใส่ไว้ในภาชนะสีเข้มๆ อย่างเช่น สีดำ หรือสีน้ำเงินเข้ม จะเป็นการดีกว่า
2. รับประทานผักมากๆ แบ่งสัดส่วนการรับประทานอาหารในแต่ละวันของคุณออกเป็น 4 มื้อ และสามในสี่มื้อนั้นควรเป็นอาหารประเภทผักล้วนๆ คิดเสียว่าอย่างไรผักก็มีประโยชน์ และหากอยากลดหุ่นให้ได้จริงๆ ข้อนี้ห้ามละเลย
3. ดื่มน้ำเย็นๆ เพราะน้ำเย็นๆ จะช่วยให้ร่างกายต้องดึงพลังงานความร้อนในตัวออกมาเพื่อปรับอุณหภูมิของน้ำนั้นให้เหมาะสมกับอุณหภูมิในร่างกาย ด้วยเหตุนี้ขณะที่เราได้ดื่มน้ำเย็นๆ ร่างกายจึงต้องเผาผลาญแคลอรีมากขึ้น
4. กินแต่อาหารที่ไม่ติดมัน อาหารประเภทเนื้อสัตว์ติดมัน หมูสามชั้นทอดกรอบ กุนเชียง กากหมู หนังไก่หรืออาหารที่ทอดด้วยน้ำมัน ควรจะงดเว้นให้เด็ดขาด หากยังไม่อยากสูญเสียทรวดทรงองค์เอวอันสวยงามสมส่วน
5. เลือกกินของหวานอย่างเหมาะสม ขนมหวานๆ อย่างทองหยิบ ฝอยทอง หม้อแกง เค้กหรือช็อกโกแลตเป็นของหวานที่อุดมไปด้วยนม เนย ไข่ และน้ำตาล แถมเวลาได้รับประทานแล้วจะรู้สึกเพลิดเพลินมีความสุข ทำให้ทานชิ้นเดียวหยุดไม่ได้ ฉะนั้นหากต้องการลดน้ำหนักก็จงตัดอกตัดใจเสียเถอะ ทางที่ดีควรหันมารับประทานลูกพลับ หรืออินทผลัมอบแห้งจะสามารถช่วยป้องกันอาการอยากของหวานเหล่านั้นได้
6. งดใส่ครีมในกาแฟ แม้ครีมเทียมจะทำให้รสชาติของกาแฟกลมกล่อมขึ้น แต่คิดดูสิ ครีมเทียมเพียง 1 กรัม สามารถให้พลังงานสูงถึง 9 แคลอรี แล้วกาแฟที่คุณดื่ม ใส่ครีมกี่ช้อนต่อแก้ว ถ้าวันหนึ่งคุณดื่มกาแฟสัก 3-4 แก้ว ร่างกายจะได้รับแคลอรี่โดยไม่รู้ตัวมากมายขนาดไหน
7. สลัดน้ำข้น ไขมันเพียบ! คุณบอกว่ารับประทานแต่สลัด แต่ทำไมยังอ้วนอีก ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะน้ำสลัดที่คุณเลือกรับประทาน ล้วนเป็นน้ำสลัดข้นๆ ที่อุดมไปด้วยครีมนม และไขมันนม ถ้ารับประทานอย่างนี้แล้ว จะผอมได้อย่างไรละคะ. ซดน้ำแกงจืดก่อนอาหาร เป็นความคิดที่ดีที่จะจัดการกับน้ำแกงจืดหรือไม่ก็ดื่มน้ำสักแก้วสองแก้วก่อนรับประทานอาหาร ทั้งนี้ก็เพื่อให้คุณรู้สึกอิ่มกับอาหารตรงหน้า แต่ถ้าหากยังสามารถกินอาหารได้อีก ก็จะกินได้ในปริมาณที่น้อยลง
9. เลือกกินข้าวกล้องแทนข้าวขาว ข้าวเป็นอาหารหลักที่เราต้องรับประทานเกือบทุกมื้ออยู่แล้ว และถ้าหากได้รับประทานข้าวกล้องแทนข้าวขาว เราก็จะไม่ได้เพียงแค่คาร์โบไฮเดรตเฉยๆ แต่ยังได้ทั้งวิตามินและเกลือแร่ต่างๆ มากมายจากเยื่อหุ้มและจมูกข้าวที่ไม่ได้ถูกขัดสีออกไปด้วย
10. เลิกนิสัยกินจุบกินจิบ อย่าสร้างความเคยชินให้กับตัวเองด้วยการกินนั่นกินนี่ไม่เป็นเวล่ำเวลาอยู่เรื่อยไป แต่ควรกินอาหารเป็นมื้อเป็นคราวเท่านั้น โดยเฉพาะเวลานั่งอยู่หน้าจอทีวีไม่ควรจหาขนมกรุบกรอบ อาทิเช่น มันฝรั่งทอด ข้าวเกรียบหรือคุ้กกี้ กินไปดูทีวีไปตลอดเวลา เพราะจะทำให้กินเพลินจนลืมเรื่องอ้วน
11. หาเพื่อนร่วมลด การลดน้ำหนักคนเดียว บางครั้งอาจทำให้รู้สึกท้อแท้ แต่ถ้ามีเพื่อนหัวอกเดียวกันที่มุ่งมั่นจะรีดไขมันส่วนเกินออกจากชีวิตเหมือนกัน จะช่วยทำให้มีกำลังใจขึ้นเยอะ อย่างน้อยๆ คุณก็ยังรู้สึกว่า "ฉันไม่ได้เป็นคนอ้วนที่ต้องลดน้ำหนักอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย"
12. ดินเนอร์ใต้แสงเทียนภายใต้แสงเทียนนอกจากจะช่วยสร้างบรรยากาศให้ดูโรแมนติกขึ้นแล้ว ท่ามกลางแสงสลัวๆ แบบนั้นยังทำให้ความอยากอาหารลดน้อยลงอีกด้วย
13. อาหารมื้อเช้าอาหารมื้อไหนๆ ก็ไม่สำคัญเท่ากับมื้อเช้า ทั้งนี้เพราะช่วงเวลาตั้งแต่ 6 โมงถึง 10 โมงเช้า เป็นช่วงที่ระบบการเผาผลาญสารอาหารภายในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ดังนั้นจึงควรกินอาหารเช้าใด้เต็มที่ ส่วนมื้อเย็นให้กินแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
14. ไม่กักตุนอาหารเต็มตู้เย็น ทั้งนี้เพราะจะทำให้คุณหาของกินได้ง่ายและสะดวกสบายเกินไป ยิ่งมีของกินในตู้เย็นมากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งกินตามใจปากมากขึ้นเท่านั้น
15. ผลไม้รสเปรี้ยวอมหวาน ผลไม้อย่างแอปเปิ้ล ส้ม ฝรั่ง กีวี สตรอเบอร์รี่ สับปะรด มะม่วงหรือมะเขือเทศ นับเป็นผลไม้ที่เกิดขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้รักษาหุ่นอย่างแท้จริง เพราะนอกจากจะเป็นแหล่งวิตามินซีคุณภาพสูงจากธรรมชาติแล้ว16. ดื่มตบท้ายด้วยชามะนาว หลังอาหารแต่ละมื้อควรดื่มชามะนาวตบท้าย จะสามารถช่วยชะล้างปากจากอาหารคาว หรืออาหารมันๆ เลี่ยนๆ ได้ดีกว่าดื่มน้ำเปล่าธรรมดา แถมยังสามารถช่วยยุติความอยากอาหารเรื่อยเปื่อยของคุณอย่างได้ผลด้วย
17. ออกกำลังกายการออกกำลังกายเป็นกิจกรรมที่ขาดไม่ได้สำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก เพราะการออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายสามารถเผาผลาญแคลอรีให้กลายเป็นพลังงานได้คราวละมากๆ ฉะนั้นจึงควรเตือนตัวเองให้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกายอยู่เสมอ ซึ่งนอกเหนือจากเล่นกีฬาเป็นงานอดิเรกแล้ว ก็ควรหมั่นฝึกตนให้เป็นคนชอบเดิน ชอบทำงานบ้าน และชอบขึ้นลงบันได
18. กิจวัตรแรกสุดของทุกๆ วัน หลังจากตื่นนอนตอนเช้า กิจวัตรแรกสุดที่ควรทำทันทีก็ไม่ใช่อะไรอื่น นั่นก็คือดื่มน้ำให้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถดื่มได้ ทั้งนี้ก็เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสดชื่นขึ้น และช่วยให้ระบบขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายทั้งหนักทั้งเบาทำงานได้อย่างคล่องตัว
19. ชั่งน้ำหนักอาทิตย์ละครั้งเมื่อปฎิบัติได้ตามคำแนะนำดังกล่าวข้างต้นแล้ว ควรติดตามผลการลดหุ่น ด้วยการเปลือยกายสำรวจตัวเองหน้ากระจกในห้องน้ำส่วนตัว และชั่งน้ำหนักอาทิตย์ละครั้งก็พอ ไม่จำเป็นจะต้องชั่งทุกๆ วัน เพราะการทำเช่นนั้นรังแต่จะทำให้รู้สึกเครียดและคับข้องใจที่น้ำหนักไม่มีการเปลี่ยนแปลงให้เห็นผลได้ทันตา
20. อย่าลืมให้รางวัลกับตัวเองหลังจากที่สามารถขจัดไขมันส่วนเกินในร่างกายให้ลดลงไปได้สำเร็จ (แม้จะลงไปเพียงเล็กน้อยก็ตาม) คุณก็สามารถจะให้รางวัลกับตัวเองด้วยการไปนวดหน้า นวดตัว ขัดผิวและบำรุงผิว เพียงเท่านี้หน้าตาและผิวพรรณคุณก็จะแลดูสดใสและปิ๊งปั๊งขึ้นมาทันตาเห็น

สุขภาพดี … คุณเอง เป็นผู้กำหนด

สุขภาพดี … คุณเอง เป็นผู้กำหนด



ความจริงที่ว่า ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ ยังเป็นคำพูดที่ไม่ล้าสมัย เพราะคงไม่มีใครปฏิเสธว่าการมีสุขภาพดี มีค่ากว่าการได้ลาภเป็นเงินเป็นทองด้วยซ้ำไป เพราะแม้ว่าจะมีเงินมากองจนท่วมตัวก็ไม่สามารถซื้อสุขภาพที่ดีคืนมาได้
สุขภาพเป็นสิ่งที่ไม่มีใคร … นอกจากตัวเราเท่านั้นที่จะเป็นผู้กำหนด เป็นสิ่งที่เราเลือกได้ แต่เราได้เลือกแล้วหรือยัง มองย้อนกลับไปดูว่า ที่ผ่านมา เราดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องหรือเปล่า เราสนใจเรื่องอาหารการกินมากน้อยแค่ไหน เรากินเพื่ออยู่ไปวัน ๆ หรือเรามีความสุขกับการกิน จนมากเกินไป ถ้าเป็นเช่นนั้น คงถึงเวลาแล้วที่เราต้องรีบปรับตัว และไม่ปล่อยปละละเลยกับการดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ เพราะหากเป็นปัญหาขึ้นมาแล้ว อาจสายเกินแก้
เมื่อพูดถึงการดูแลสุขภาพ เรื่องอาหารการกินดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เห็นได้ชัดเจนกว่าเรื่องอื่น ดังนั้น การจัดปรับ พฤติกรรมการกินให้ถูกต้อง ถูกหลักโภชนาการที่ดี กินอาหารที่ถูกสุขลักษณะ กินเป็นเวลา ที่สำคัญ คือ กินให้พอดีและ กินให้หลากหลาย ก็สามารถลดความเสี่ยง ต่อการเจ็บป่วย ไปได้มากกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว ในการทำความเข้าใจเรื่องการกิน อาหาร เพื่อสุขภาพที่ดีและห่างไกลโรคต่าง ๆ ที่เกิดจากการกินได้ ชัดเจนยิ่งขึ้น ลองสำรวจตัวเองว่ามีพฤติกรรมการกิน อาหาร เพื่อสุขภาพมากน้อยแค่ไหน จากโภชนบัญญัติ 9 ข้อต่อไปนี้
1. กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ แต่ละหมู่ให้หลากหลาย ไม่ซ้ำซาก เพื่อความเพียงพอของสารอาหารและไม่สะสมสารพิษ ในร่างกาย และหมั่นดูแล น้ำหนักตัว
2. กินข้าวเป็นอาหารหลักสลับกับอาหารประเภทแป้งเป็นบางมื้อ และเพื่อคุณค่าที่มากกว่าขอแนะ
3. กินพืชผักให้มากและกินผลไม้เป็นประจำ เพื่อให้ได้วิตามิน ใยอาหารและสารป้องกันอนุมูลอิสระ
4. กินปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ ถั่วเมล็ดแห้งเป็นประจำ คนทั่วไปที่สุขภาพดีไม่มีปัญหาคอเลสเตอรอลสูงกินไข่ได้วันละ 1 ฟอง ผู้สูงอายุกินไข่ได้วันเว้นวัน ถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถั่วเหลืองเป็นอาหารเพื่อสุขภาพควรกินเป็นประจำ
5. ดื่มนมให้เหมาะสมตามวัย นมที่ไขมันต่ำหรือนมถั่วเหลือง จะให้ประโยชน์มากทำให้ไม่มีไขมันสะสม
6. กินอาหารที่มีไขมันแต่พอควร ลดการกินอาหารผัดและทอด ปรุงอาหารด้วยวิธีต้ม นึ่ง อบ แทน
7. หลีกเลี่ยงการกินอาหารรสหวานจัดและเค็มจัด เพื่อลดความเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง
8 . กินอาหารที่สะอาดปราศจากการปนเปื้อน เลือกซื้ออาหารปรุงสุกใหม่ ๆ ล้างผักให้สะอาดก่อนปรุง
9. งดหรือลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะบั่นทอนสุขภาพและเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
โภชนบัญญัติ 9 ข้อ นี้ บอกถึงการกินดี กินอย่างถูกต้อง ส่วนเรื่องการนำไปปฏิบัติจริงๆ เราจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับ ปริมาณของอาหารที่จะกิน ให้เหมาะสมด้วย ใครควรจะกินมากกินน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับ อายุ เพศ และกิจกรรมที่ต้อง มีการใช้พลังงาน มากน้อยต่างกันของแต่ละคน ซึ่งจะติดตามได้ต่อไป

การติดตั้ง

ที่มาhttp://www.karaoke-soft.com/karaoke/extreme/doc/setup/setup.html


1.ทำการขยายไฟล์ชุดติดตั้ง จะได้ดังรูป
Setup.exe เป็นตัวติดตั้งโปรแกรม
Folder Program ข้อมูลโปรแกรม
Folder SQL เป็นตัว KaraPlayer.exe ให้ copy ตัวนี้ทับตัวที่ติดตั้ง กรณีต้องการใช้ฐานข้อมูลเพลงแบบ SQL
2.ทำการติดตั้งโปรแกรม Double Click ที่ setup.exe เพื่อเริ่มติดตั้งโปรแกรม



3 เลือก Folder ที่จะทำการติดตั้งโปรแกรม ถ้าเครื่อง Compuer มี Hard Disk Drive มากกว่า 1 Drive แนะนำให้ติดตั้งที่ Drive อื่นที่ไม่ใช่ C: เพราะถ้า Windows มีปัญหาต้องทำการ Format เครื่องใหม่จะได้ไม่ต้องลงทะเบียนการใช้งานใหม่




4.เลือกชุด Component ในการติดตั้ง แนะนำให้เลือก Full installation สำหรับมือใหม่




5.แจ้งข้อมูลที่เลือกในการติดตั้ง click Install เพื่อเริ่มทำการติดตั้ง



6.โปรแกรมทำการติดตั้งข้อมูลลงในเครื่อง Computer



7. ทำการติดตั้งเสร็จสมบูรณ์



8.ที่หน้า Desktop จะมี icon eXtreme Karaoke และเมนูที่ Start Menu ดังรูป

วิธีการติดตั้งโปรแกรมซ่อมแซมช่องโหว่ของ Windows XP

วิธีการติดตั้งโปรแกรมซ่อมแซมช่องโหว่ของ Windows XP

หลายคนคงจะเคยได้ยินคำว่า "โปรแกรมซ่อมแซมช่องโหว่ (Patch)" คำๆ นี้มีความสำคัญอย่างไรต่อการรักษาความปลอดภัยในเครื่องคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่าย ก่อนที่จะกล่าวถึงโปรแกรมซ่อมแซมช่องโหว่นั้น เรามาทำความรู้จักกับคำว่า "ช่องโหว่ (Vulnerability)" ก่อน ช่องโหว่หรือ Vulnerability นั้นหมายถืง "ความอ่อนแอในระบบซึ่งยอมให้เกิดการกระทำที่ไม่ได้รับอนุญาตได้" ซึ่งถ้ามีการเปรียบเทียบเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นบ้านที่เราอาศัยอยู่ ต่อมาไม่นานบ้านของเราเกิดความสึกหรอ เช่น กำแพงทะลุ หรือกระจกแตก เป็นต้น เมื่อเหล่ามิจฉาชีพที่เปรียบได้กับแฮกเกอร์หรือไวรัสต่างๆ เห็นช่องโหว่นั้นเข้าก็อยากที่จะเข้ามาในบ้านของเรา ด้วยเหตุนี้เองเราจึงต้องทำการอุดรูรั่วหรือช่องโหว่อาจจะโดยการโบกปูนปิดรอยรั่ว หรือเปลี่ยนกระจกใหม่ เป็นต้น แต่ในทางคอมพิวเตอร์นั้นการอุดรูรั่วหมายถึงการติดตั้งโปรแกรมเพื่อทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์มีความแข็งแกร่งมากขึ้น โปรแกรมดังกล่าวก็คือ "โปรแกรมซ่อมแซมช่องโหว่ หรือ Patch" นั่นเอง
วิธีการอัพเดตระบบปฏิบัติการวินโดว์สนั้นสามารถทำได้หลายวิธี คือ อาจจะทำโดยการดาวน์โหลด hotfix แต่ละตัวมาทำการติดตั้ง (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaicert.nectec.or.th/paper/microsoft/hotfix.php) หรือใช้วิธีการ Windows Update (ในบทความนี้จะแนะนำวิธีการใช้งาน Windows Update ทีละขั้นตอน) ข้อดีของการใช้งาน Windows Update คือ ง่าย และสามารถทำการติดตั้งโปรแกรมซ่อมแซมช่องโหว่ได้ครบถ้วน แต่ข้อเสียคืออาจจะต้องใช้เวลาในการดาวน์โหลดพอสมควร อย่างไรก็ตามวิธี Windows Update เป็นวิธีการที่ง่ายและเหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ทุกคน ตั้งแต่ผู้ใช้งานทั่วไปที่ไม่มีความความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ตลอดจนผู้ดูแลระบบที่มีความชำนาญสูง
ขั้นตอนกระบวนการติดตั้งโปรแกรมซ่อมแซมช่องโหว่
1. ทำการตรวจสอบว่ามีโปรแกรมอะไรบ้างที่ยังไม่ได้ทำการอัพเดต มี 2 วิธีคือ
1.1. กดที่ปุ่ม Start เลือก Windows Update ดังรูปที่ 11.2. เปิดโปรแกรม Internet Explorer (IE) เลือกเมนู Tools และ Windows Update ดังรูปที่ 2




รูปที่ 1 แสดงวิธีการอัพเดตระบบปฏิบัติการวินโดว์ส แบบที่ 1




รูปที่ 2 แสดงวิธีการอัพเดตระบบปฏิบัติการวินโดว์ส แบบที่ 2
2. จากข้อที่ 1 ผลที่ได้จะเหมือนกันคือ จะมีการติดต่อไปยังเว็บไซต์ของไมโครซอฟท์เพื่อร้องขอการอัพเดต ดังรูปที่ 3 จากนั้นทำการกดเลือก Scan for updates




รูปที่ 3 แสดงเว็บไซต์หน้าแรก ก่อนเริ่มทำการติดตั้งโปรแกรมซ่อมแซมช่องโหว่
3. จากนั้น Windows Update จะทำการตรวจสอบภายในเครื่องว่ามีโปรแกรมซ่อมแซมช่องโหว่ใดบ้างที่ยังไม่ได้ทำการติดตั้ง ดังรูปที่ 4 และ 5




รูปที่ 4 แสดงเว็บไซต์ขณะทำการตรวจสอบว่าเครื่องยังไม่ได้ติดตั้งโปรแกรมซ่อมแซมอะไรบ้าง



รูปที่ 5 แสดงเว็บไซต์ผลการตรวจสอบ
4. โปรแกรมซ่อมแซมช่องโหว่ของระบบปฏิบัติการวินโดว์ส XP จะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ
4.1. Critical Updates and Service Pack เป็นโปรแกรมซ่อมแซมช่องโหว่ที่มีผลกระทบรุนแรงมาก ต้องทำการติดตั้งโดยเร่งด่วน และเมื่อรัน Windows Updates แล้ว จะมีการเตรียมการติดตั้งโดยอัตโนมัติ4.2. Windows XP เป็นโปรแกรมซ่อมแซมช่องโหว่ที่ผลกระทบอยู่ในระดับปานกลาง อย่างไรก็ตามก็ต้องทำการติดตั้งด้วย ซึ่งสามารถเลือกติดตั้งโดยคลิกที่ Windows XP ที่เมนูด้านซ้ายมือ จากนั้นจะปรากฎโปรแกรมซ่อมแซมช่องโหว่ที่ให้เลือกทำการติดตั้งในด้านขวามือ ถ้าจะเลือกติดตั้งโปรแกรมซ่อมแซมช่องโหว่ใดก็ให้กดที่ปุ่ม Add ดังรูปที่ 6 - 7 4.3. Driver Updates เป็นโปรแกรมที่ใช้ในการอัพเดตไดร์ฟเวอร์ของฮาร์ดแวร์ต่างๆ ภายในเครื่อง เพื่อให้ทำงานได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งวิธีการเลือกก็เหมือนกับข้อ 4.2



รูปที่ 6 แสดงเว็บไซต์ให้เลือกโปรแกรมซ่อมแซมช่องโหว่




รูปที่ 7 แสดงเว็บไซต์ให้เลือกโปรแกรมซ่อมแซมช่องโหว่
5. หลังจากทำการเลือกโปรแกรมซ่อมแซมช่องโหว่เสร็จแล้ว ก็เป็นขั้นตอนของการตรวจสอบข้อมูลก่อนการติดตั้ง ดังรูปที่ 8 และเมื่อตรวจสอบข้อมูลครบแล้ว ก็เริ่มทำการติดตั้งโดยการกดปุ่ม Install Now





รูปที่ 8 แสดงเว็บไซต์ก่อนทำการติดตั้งโปรแกรมซ่อมแซมช่องโหว่
6. หลังจากกดปุ่ม Install Now แล้ว จะมีไดอะล็อกปรากฏขึ้นมาแสดงสถานะของการติดตั้งโปรแกรมซ่อมแซมช่องโหว่ ดังรูปที่ 9 และ 10 จากนั้นก็รอจนกระทั่งติดตั้งโปรแกรมซ่อมแซมช่องโหว่เสร็จเรียบร้อย


รูปที่ 9 แสดงสถานะขณะเริ่มดาวน์โหลดโปรแกรมซ่อมแซมช่องโหว่



รูปที่ 10 แสดงสถานะขณะดาวน์โหลดโปรแกรมซ่อมแซมช่องโหว่

7. หลังจากทำการดาวน์โหลดและติดตั้งโปรแกรมซ่อมแซมช่องโหว่เรียบร้อยแล้วให้ทำการรีสตาร์ทเครื่อง

การดูแลผิวพรรณด้วยสมุนไพร

การดูแลผิวพรรณด้วยสมุนไพร


ความสวยความงาม นับเป็นเรื่องที่มนุษย์เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่ามีอิทธิพลต่อจิตใจของผู้คน หรือเรียกว่าเป็นจิตวิทยาของโลกเลยทีเดียว การได้เห็นของสวยๆ งามๆ ย่อมทำให้จิตใจชุ่มชื่น แต่อย่างไรก็ตาม การดูแลร่างกายให้มีสุขภาพสมบูรณ์ด้วยทางอาหารที่ครบถ้วน ก็จะทำให้ผิวพรรณสดใสงดงามได้
แต่ในปัจจุบันนี้สังคมได้พัฒนาไปมากด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง ได้มีการสกัดสารสำคัญจากธรรมชาติ เพื่อพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมความงามต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโลชั่นบำรุงผิวพรรณ หรือเครื่องประทินความงามอื่นๆ มาวางตลาดให้เลือก แต่ย่อมมีราคาแพง จึงเป็นผลให้คนที่ยึดติดกับเรื่องความสวยความงามต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นอันมาก
สถาบันการแพทย์แผนไทย เล็งเห็นความต้องการของประชาชน จึงพยายามค้นหาทางเลือกให้สำหรับคนรักสวยรักงาม แต่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายก็อาจเลือกใช้สารจากธรรมชาติในการดูแลความงามด้วยตนเอง โดยไม่ต้องไปซื้อหาให้มากด้วยราคา
ฉะนั้นในฉบับนี้ สถาบันการแพทย์แผนไทย จึงคัดเลือกสมุนไพรที่มีผลต่อความงามของผิวพรรณ พร้อมวิธีใช้มาเสนอ อาทิ ว่านหางจระเข้ ซึ่งมีจารึกไว้ว่า แม้แต่พระนางคลีโอพัตราก็ยังใช้ว่านหางจระเข้ ในการบำรุงผิวพรรณ เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ความรู้สมัยใหม่ในการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมความงามนั้นก็ได้นำความรู้ดั้งเดิมมาประยุกต์ ไม่ว่าจะเป็นภูมิปัญญาไทย หรือภูมิปัญญาพื้นบ้านต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งมีส่วนเป็นอย่างมากในการพิจารณาผลิตภัณฑ์เสริมความงาม
สมุนไพรบำรุงผิวหน้าและผิวกาย
1. ว่านหางจระเข้ (Aloe indica Royle) คุณค่าของว่านหางจระเข้มีมากมาย นอกจากใช้รักษาโรคแล้ว ยังใช้บำรุงผิว บำรุงเส้นผมได้ด้วย ปัจจุบันจะเห็นได้ว่ามีแชมพูสระผม และเครื่องสำอางค์หลายอย่างที่ใช้ว่านหางจระเข้เป็นส่วนประกอบ และกำลังเป็นที่นิยมของคนทั่วไป เนื่องจากว่านหางจระเข้มีคุณสมบัติ สามารถช่วยให้กระบวนการเมตะโบลิซึมทำงานได้เป็นปกติ ลดการติดเชื้อ สลายพิษของเชื้อโรค กระตุ้นการเกิดใหม่ของเนื้อเยื่อส่วนที่ชำรุด ฉะนั้นว่านหางจระเข้จึงถูกนำมาใช้เพื่อบำรุงผิวพรรณ ผู้ที่ใช้ว่านหางจระเข้บำรุงผิวพรรณอยู่เป็นประจำ จะรู้สึกได้ชัดว่าว่านหางจระเข้มีส่วนช่วยให้ผิวพรรณผุดผ่อง สดชื่น มีน้ำมีนวล และยังสามารถขจัดสิวและลบรอยจุดด่างดำได้ด้วย
การใช้ว่านหางจระเข้เพื่อบำรุงผิว โดยปอกเปลือกออกใช้แต่เมือกวุ้นสีขาวใสที่อยู่ภายใน ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการแพ้ ก่อนใช้ควรตรวจสอบว่าตนเองจะเกิดอาการแพ้หรือไม่ โดยใช้น้ำที่ได้จากวุ้นสีขาวของว่านหางจระเข้ทาตรงบริเวณโคนหูแล้วทิ้งไว้สักครู่ ถ้าเกิดการระคายเคืองเป็นผื่นแดงแสดงว่าแพ้ ไม่เหมาะที่จะใช้กับผิวหน้าอีกต่อไป ถ้าไม่มีอาการแพ้ก็สามารถใช้ได้ตลอด แต่บางคนก็จะเห็นผลได้เหมือนกัน เมื่อใช้ว่านหางจระเข้ทาบริเวณหัวสิว จะทำให้หัวสิวแห้งเร็ว
นอกจากนี้ว่านหางจระเข้ยังสามารถลดความแห้งกร้านและลดความมันของผิวหน้าได้ โดยคนที่มีผิวที่มันก็จะช่วยให้ลดความมัน คนที่มีผิวหน้าแห้งก็ยังรักษาความชุ่มชื่นของผิวไว้ได้
2. งา (Sesamum indicum Linn., S. orientle,L) เป็นพืชล้มลุกให้เมล็ดเป็นจำนวนมาก เมล็ดงามีทั้งสีดำและสีขาว ในเมล็ดงามีน้ำมันอยู่ประมาณ 45-54 % น้ำมันงามีกลิ่นหอมน่ารับประทาน วิธีใช้โดยการนำเอาเมล็ดงาสด มาบีบน้ำมันงาออกโดยไม่ผ่านความร้อน ใช้ทาผิวหนังเพื่อบำรุงผิวพรรณให้ผุดผ่อง ช่วยประทินผิวให้นุ่มนวลไม่หยาบกร้าน

3. แตงกวา (Cucumis sativas Linn.) จะมีวิตามินสูง ในผลแตงกว่ายังมีเอนไซม์ cryssin ซึ่งช่วยย่อยโปรตีนได้ เอนไซม์ชนิดนี้จะช่วยย่อยผิวหนังที่หยาบกร้าน ให้หลุดออกไป เพื่อให้ผิวใหม่ที่อ่อนนุ่มเกิดขึ้นมาแทนที่ บางคนใช้แตงกวาสดผ่าเป็นชิ้นบางๆ วางบนใบหน้าที่ล้างสะอาดแทนน้ำแตงกวา ปัจจุบันมีน้ำแตงกวาผสมในเครื่องสำอาง เช่น ครีมล้างหน้า ครีมทาตัว เพื่อช่วยให้ผิวไม่หยาบกร้าน และช่วยสมานผิว แตงกวาเป็นสมุนไพรที่หาง่ายมีประโยชน์ราคาถูก ใช้ติดต่อกันเป็นประจำจะทำให้สวยสดชื่นมีน้ำมีนวล
4. มะเขือเทศ (Lycopersicon esculentum Mill.) ในมะเขือเทศจะมีสาร Curotenoid และมีวิตามินหลายชนิด น้ำจากผลมะเขือเทศสุกจะมีสาร 1icopersioin ซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อราและแบคทีเรียได้ และน้ำมะเขือเทศสด นำมาพอกหน้าจะรักษาสิวสมานผิวหน้าให้เต่งตึง หรืออาจจะฝานบางๆ แปะลงบนผิวหน้าก็ได้

5. ขมิ้นชัน (Curcuma Longa Linn.) ในขมิ้นจะมีสาร Curcumin และมีน้ำมันหอมระเหยซึ่งมีกลิ่นเฉพาะ ขมิ้นมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อราหลายชนิด ใช้ทาผิวที่มีผดผื่นคัน ผงขมิ้นใช้ทาตัวเพื่อให้มีสีเหลืองทองใช้บำรุงผิว และช่วยฆ่าเชื้อ ที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังบางชนิดได้อีกด้วย

6. น้ำผึ้ง (Apis dorsata) ได้จากผึ้ง ในน้ำผึ้งประกอบด้วยน้ำตาลกลูโคส, ฟรุกโตส, ขี้ผึ้ง, อัลบูมินอยด์, ละอองเกสรดอกไม้, และฮอร์โมนเอสโตรเจนจำนวนเล็กน้อย น้ำผึ้งใช้เป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอาง ใช้พอกหน้าทำให้ผิวหน้าชุ่มชื่น เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลขึ้น น้ำผึ้งยังมีคุณสมบัติช่วยสมานผิว น้ำผึ้งเป็นเครื่องสำอางจากธรรมชาติที่ให้ประโยชน์สูงและหาง่าย นอกจากนี้ยังใช้น้ำผึ้งบำรุงผม ฮอร์โมนเอสโตรเจนจะช่วยบำรุงหนังศรีษะ และกระตุ้นการงอกของเส้นผม
7. มะขามเปียก (Tamarindus indica Linn) มะขามเปียกมีประวัติการใช้มายาวนาน ช่วยชำระสิ่งสกปรกจากผิวหนัง เพราะฤทธิ์ที่เป็นกรดอ่อนๆ ในมะขามจะช่วยขจัดสิ่งสกปรกจากผิวหนังได้ดี ปัจจุบันได้มีหญิงไทยจำนวนมาก ใช้มะขามเปียกผสมน้ำอุ่นและนมสดผสมให้เข้ากันดี พอกบริเวณผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นรอยด้าน เช่น ตาตุ่ม ข้อศอก ฝ่ามือ ที่มีรอยกร้านดำ และบริเวณรักแร้ ขาหนีบ เพื่อให้ผิวหนังที่เป็นรอยดำจางลง ทำให้ผิวขาวนุ่มนวลขึ้น และนมสดจะช่วยบำรุงผิวให้นุ่มได้
จากที่กล่าวมาแล้ว เป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านที่มีการใช้สืบต่อกันมาเป็นเวลานาน และได้ถูกลืมไปชั่วระยะหนึ่ง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี และค่านิยมของคนไทยต่อค่านิยมด้านวัตถุ ทำให้คนรุ่นใหม่สนใจสินค้าจากต่างประเทศ แต่ปัจจุบันเป็นที่สังเกตว่าคนต่างประเทศสนใจภูมิปัญญาไทย โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความงาม ซึ่งจะเห็นบ่อยว่ามีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความงามที่มีส่วนผสมของสมุนไพร
การที่เราหันไปใช้ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป ใช้สะดวกราคามักจะสูง แต่ถ้าเรานำเอาวัตถุดิบที่มีอยู่ในบ้านเรามาใช้เอง ได้สารสำคัญที่สดใหม่ ราคาถูก ไม่มีสารเคมีเจือปน อะไรที่เราหาได้ง่าย และเป็นผลิตภัณฑ์ที่เราปลูกใช้ได้เราจะทำให้เราพึ่งตนเองได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะเศรษฐกิจที่เป็นอยู่เช่นปัจจุบัน



ที่มา : สถาบันการแพทย์แผนไทย

วิธีสมัครเวบ Blogger


ขั้นตอนการสมัคร Blog สิ่งสำคัญต้องสมัคร Gmail มาเรียบร้อยก่อนจึงจะสมัคร Blog เพื่อความสะดวกในการเรียกใช้งานครับ ในบทนี้ จะได้สอนถึงการสร้างเว็บบล็อกเพื่อใช้งานเกี่ยวกับธุรกิจ Online ด้วย Google AdSense โดยบล็อกที่จะสร้างนี้ ต้องมีเนื้อหาเป็นภาษาอักกฤษก่อนนะครับ เพื่อที่จะเอาเว็บบล็อกอันนี้ไปสมัครกับ Google AdSense ไม่ต้องตกใจนะครับสำหรับผู้ที่ไม่ชำนาญการเรื่องภาษาอังกฤษ หรือไม่รู้ภาษาอังกฤษเลยอย่างกระผม ก็สามารถทำเว็บภาษาอังกฤษได้ ส่วนรายละเอียดและวิธีการ จะเริ่ม ณ บันนี้ครับ
Stepที่1. คลิกที่ >>> Blog หรือไปที่ http://www.blogger.com/

จะปรากฎหน้าต่างดังรูปด้านบน เพื่อสมัครสมาชิกใหม่
Stepที่ 2.คลิกที่ >>> สร้างเว็บบล็อกของท่านเดี๋ยวนี้ จะปรากฎดังรูปด้านล่าง







Stepที่ 3. ให้ใส่รายละเอียดดังรูป-ที่อยู่อีเมล : (จากที่ท่านได้สมัคร Gmail มาแล้วก่อนหน้านี้)
-Enter Password : (ใส่รหัสผ่าน)-พิมพ์รหัสผ่านอีกครั้ง-Displya name (ตั้งชื่อที่จะให้แสดงตอนโพสเว็บบล็อก)-พิมพ์ตามอักษรที่ปรากฎให้ถูกต้อง
-คลิกดำเนินต่อไป
Stepที่ 4. จากนั้นให้ตั้งชื่อ เว็บบล็อกของท่าน
-คลิกที่ตรวจสอบ เพื่อตรวจเช็คดูว่า มีใครใช้ชื่อนี้ไปหรือยัง ถ้ามีแล้วระบบจะแจ้งเตือนว่าใช้ไม่ได้ และจะมีตัวเลือกให้เราโดยอัตโนมัต ถ้าชอบใจตัวไหน ก็คลิกที่ชื่อด้านล่างตัวนั้นได้ แต่ถ้าต้องการชื่ออื่นอีกก็ตรวจสอบจนกว่าจะได้ชื่อที่คุณพอใจ เมื่อได้ชื่อตามที่ต้องการแล้ว คลิกที่ ดำเนินต่อไป


Stepที่ 5. จากนั้นจะเข้าสู่การเลือกแม่แบบว่า เราต้องการเว็บบล็อกรูปแบบไหน มีให้เลือกมากมายตามต้องการ
สามารถคลิกเพื่อดูตัวอย่างแม่แบบได้ เมื่อได้แม่แบบตามที่เราชอบแล้ว คลิกที่ ดำเนินต่อไป



Stepที่ 6. เพียงแค่นี้ คุณก็สามารถมีเว็บบล็อกเป็นของตัวเองไว้ใช้งานสำหรับทำเงินได้แล้วครับเป็นอย่างไรบ้างครับกับการสมัครเว็บบล็อก Blogger.com



ไม่ยากอย่างที่คิดนะครับ
ส่วนวิธีการใช้งาน สามารถศึกษาได้ในบทเรียนต่อไปครับ